ประเด็นเรื่องความตายของมหาวิทยาลัยไทย ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เพราะเทรนด์การศึกษาในช่วงปีที่ผ่านมานี้ นอกจากจะมีหลักสูตรใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ในอีกด้านหนึ่งก็มีหลักสูตรเก่าๆ ที่ล้ม หาย ตาย จาก ไปจากระบบการศึกษา รวมถึงมหาวิทยาลัย ที่ต้องปิดตัว
รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ อุดม คชินทร ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเล็กๆ ของเอกชนก็ปิดตัวลงไปหลายแห่ง ทั้งปีที่ผ่านมา ในสหรัฐฯ มีสถาบันอุดมศึกษา ปิดตัวแล้ว 500 แห่ง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2,000 แห่งใน 10 ปีข้างหน้า
สอดคล้องกับข่าวที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ประกาศปิดหลักสูตรไป 36 สาขา บางคณะเหลือแค่สาขาเดียว บางคณะต้องควบรวมกัน และนักวิชาการที่ทำนายว่า ภายใน 3 ปีนี้จะเหลือมหาวิทยาลัยในไทยเพียงแค่ 120 แห่ง จากปัจจุบัน 150 แห่งด้วย
แต่ทำไมมหาวิทยาลัย ที่เคยเป็นสถานที่แก่งแย่ง สอบเข้าชิงแข่งขันถึงค่อยๆ ตาย ระบบการศึกษาต้องหาทางออก และปรับตัวแบบไหน และโฉมหน้ามหาวิทยาลัยในอนาคตที่จะต้องดิ้นรนจะกลายเป็นอย่างไร
ปัญหามหาวิทยาลัยปิดคณะ / ลดหลักสูตร
ปัจจัยแรกที่ทำให้มหาวิทยาลัยทยอยปิดตัว ปิดหลักสูตร คือ ขาดแคลนเด็กที่เข้าเรียน ซึ่งปัญหานี้เองก็มาจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อัตราการเกิดของเด็กที่มีจำนวนน้อยลง ในปี 2559 ไทยมีอัตราของเด็กเกิดใหม่เพียงแค่ 666,207 คนเท่านั้น ถือว่าน้อยลง 1 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2514 ที่มีถึง 1,221,228 คน จากปัญหาเด็กเกิดใหม่น้อยลงนี้ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นักสถิติและอาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า “แต่ละปีมหาวิทยาลัยไทย มีที่ว่างรับนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีปีละ 150,000 แต่มีเด็กเข้าเรียนเพียง 80,000 คน” ซึ่งช่องโหว่ของจำนวนหายไปนี้ ทำให้จำนวนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเปิดรับ และเด็กที่เข้าเรียนไม่สมดุลกัน
อีกปัญหาหนึ่ง ที่ตามกันมา คือเมื่อเด็กมีจำนวนน้อยลงแล้ว เด็กในปัจจุบันยังเลือกเรียนสาขาอาชีพ ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก คือสาขาที่เรียนไปแล้ว ต้องมีตลาดแรงงานรองรับ ซึ่งสุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษาหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เปิดเผยว่า การเลือกเรียนของเด็กในปัจจุบันจะเกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย ต่างออกไปจากสาขาอื่น
“สาขาอย่างแฟชั่น นิเทศศาสตร์ หรือครุศาสตร์นั้นมีเด็กเลือกเรียนน้อยลงอย่างมาก ในขณะที่สาขาอย่างพยาบาลศาสตร์ อาหาร และหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี มีคนสมัครจำนวนมาก” อาจารย์ สุขุม กล่าว พร้อมย้ำด้วยว่า เมื่อบางสาขามีเด็กเรียนน้อยมาก หรือไม่มีเลย ทางมหาวิทยาลัย ก็ต้องปิดหลักสูตรเหล่านั้นลง
ขณะที่เด็กมีจำนวนน้อยลง ในยุคปัจจุบัน เด็กๆ หลายคนก็เริ่มมีตัวเลือกที่มากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องก้าวขาออกจากบ้าน เพราะสามารถเลือกเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต ผ่านคอร์สเรียนออนไลน์ที่มีเพิ่มมากขึ้น อยู่เมืองไทยแต่ก็เทคคอร์สมหาวิทยาลัยชื่อดังได้ทั่วโลก โดยที่ไม่ต้องถือพาสปอร์ต ทำวีซา หรือซื้อตั๋วเครื่องบินด้วยซ้ำ ก็จบปริญญาได้ ทางเลือกใหม่อย่าง study at home จึงเป็นอีกปัจจัยที่กระทบต่อการปิดตัวลงของมหา’ลัยด้วย
‘มีวุฒิปริญญา ยังไงก็ไม่ตกงาน’ ค่านิยมนี้จะเปลี่ยนไปแล้ว
มหาวิทยาลัย จะตายไม่ใช่เพียงแค่ไม่มีคนเรียน แต่ในอนาคต ตลาดแรงงานจะเห็นคุณค่าของปริญญาน้อยลง “คุณค่าของปริญญาจะลดลง ต่อไปนี้จะไม่ได้ดูที่ใบปริญญา แต่ถ้าคุณจบไปทำงานแล้ว ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ก็ไม่มีประโยชน์ ต่อไปนี้เราจะวัดที่สมรรถนะว่าจบมา จะไปทำงาน ตอบโจทย์บริษัทได้ไหม” รมช.ศึกษาธิการ อุดม เคยกล่าวเอาไว้
เช่นเดียวกับกระแสในต่างประเทศ บทความจาก Quartz ว่าด้วย The complete guide to not going to college ได้ฉายภาพว่า ในเยอรมนีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย กำลังเชื่อว่า ถ้าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร ก็จะเลือกมุ่งตรงไปฝึกงานในอาชีพนั้นๆ โดยตรงเลย เพื่อสะสมประสบการณ์ และหาช่องทางสู่การทำงานนั้นๆ ทั้งในปัจจุบัน ผู้ประกอบการทั่วโลก ยังเลือกพิจารณาที่ประสบการณ์และความสามารถ มากกว่าข้อมูลอย่างวุฒิการศึกษาที่ติดตัวเรา
ทางเลือก และทางออกของมหาวิทยาลัย
เมื่อมีทั้งความเสี่ยงจะปิดตัวลงเรื่อยๆ ขนาดนี้ มหาวิทยาลัยจะเลือกอะไรได้ไหม หรือต้องรอให้ถึงความตายอย่างช้าๆ ?
ปฏิเสธได้ยากว่า ถ้าหากมหาวิทยาลัยไทยไม่ปรับตัว ก็อาจเสี่ยงต่อการปิดตัว ดังนั้นบุคลากร และมหาวิทยาลัยต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน มีข้อเสนอจากนักวิชาการว่า มหาวิทยาลัยของไทยเราต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษา (Hub Education) ไม่เช่นนั้นเด็กไทยจะเลือกมหาวิทยาลัย ต่างชาติมากกว่าในประเทศ
ดูเหมือนว่า กระทรวงศึกษาไทยก็กำลังหาทางพยายามดิ้นรน เพื่อหลุดออกจากวิกฤตนี้ หนึ่งในแนวทางที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีการศึกษา 2561 คือร่วมทำงานกับมหาวิทยาลัยนำร่อง 7 แห่ง เพื่อเสริมการเรียนรู้ให้นักศึกษามีทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ด้านภาษา ดิจิทัล และ Soft Skill ที่มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า เป็นสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่จำเป็นต้องมีควบคู่กับวิชาการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเด็กนักเรียน
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาฯ ยังผลักดันให้มหาวิทยาลัย เปิดหลักสูตรระยะสั้น คอร์สพัฒนาฝีมือด้านต่างๆ แทนการบังคับเก็บรายชั่วโมง รายวิชาให้ครบ เพราะเมื่อเด็กสนใจวุฒิปริญญาน้อยลง หลักสูตรแบบนี้จะเข้ามาแทนที่ เพราะได้ความรู้เร็ว เข้าถึงง่าย และใช้เวลาน้อยกว่าเยอะ
ส่วนในต่างประเทศ ระบบหลักสูตรที่แข็งและตายตัวซึ่งคณะได้จัดเตรียมมาให้กำลังจะหายไป โดยมีแนวโน้มว่าถูกแทนที่ด้วยการเลือกลงเรียนตามรายวิชา พัฒนาตนเองกันได้ตามสไตล์ที่แต่ละคนชื่นชอบ บางสถาบันอาจเปิดให้เลือกผสมผสานวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันตามใจผู้เรียน
ระบบการสอบที่เน้นวัดความรู้สิ่งที่เรียนจากห้องเรียน จะไม่ใช่ตัววัดระดับนักศึกษาอีกต่อไป คำถามคือมหาวิทยาลัยจะมีการวัดผลสิ่งที่นักเรียนได้เรียนและนำไปใช้อย่างเหมาะสมอย่างไร นี่คือโจทย์ใหญ่ที่น่าสนใจเอามากๆ
University of Future มหาวิทยาลัยในอนาคต
ในขณะที่ไทยกำลังปรับตัว ในต่างประเทศก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงกันอย่างน่าสนใจกันบ้างแล้ว
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ว่าตอนนี้คอร์สเรียนออนไลน์เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น และคาดว่าในอนาคตก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนอกจากมหาวิทยาลัย ก็มีสถาบันและเว็ปไซต์ที่มุ่งเน้นเปิดแต่คอร์สออนไลน์ ที่มีแพร่หลายทั้งคอร์สวิชาการ หรือคอร์สอย่างการแสดง และทำอาหาร หรือแม้แต่การกำกับภาพยนตร์
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจ คือมหาวิทยาลัย Texas A&M ในสหรัฐฯ อาจารย์ประจำวิชาเศรษฐศาสตร์ได้เริ่มอัพโหลดคลิปวิดีการสอน ให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านการดูคลิป และจบหลักสูตรแบบไม่จำเป็นต้องมาพบอาจารย์เลยสักครั้ง ด้วยการเรียนการสอนแนวใหม่นี้ การจัดกระเป๋าเตรียมเข้าเรียน แลคเชอร์ชีท หนังสือเรียน จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะตำราเรียนจะกลายเป็นระบบวิดีโอเหมือน Netflix ไม่เข้าใจ อยากทบทวนตรงไหน แค่กดรีเพลย์ซ้ำ รวมทั้งการส่งงานกับอาจารย์ ก็จะไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงมหาวิทยาลัย ส่งงานในถาดหน้าห้องพักครู เพราะทุกอย่างกลายมาอยู่ในดิจิทัลแพลตฟอร์ม กลายเป็นการส่งงานออนไลน์หมด อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเรียนอาจกลายเป็นแค่แล็ปท็อป หรือคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ด้วยยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในชีวิตเรามากขึ้น แน่นอนว่าย่อมกระทบต่อระบบการศึกษา จึงมีการคาดการณ์ว่า ในอนาคต เจ้า AI อาจจะได้รับบทบาทเป็นคุณครูในมหาวิทยาลัยได้ จากความสามารถและปัญญาของมันที่แค่ในตอนนี้ ก็มี AI สุดยอดทนายของ IBM ที่ท่องจำมาตรากฎหมายสหรัฐฯ ทั้งหมด และยังตัดสินคดีความง่ายๆ เช่นการสมรสได้แล้ว หรือแม้แต่หุ่นยนต์หมอที่วิจัยโรคต่างๆ หรือ AI ศัลยแพทย์ ที่ในอนาคตถ้ายิ่งอัพเกรดความสามารถ อาจไปได้ไกลจนมาเป็นอาจารย์หมอ
มหาวิทยาลัยแห่งอนาคตจะมีโฉมหน้า รูปแบบเป็นอย่างไร อาจมีทั้งประโยชน์ และสะดวกเหมาะกับนักศึกษา อีกด้านหนึ่งก็ถือว่าเด็กรุ่นใหม่ยังต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอื่นๆ แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น มหา’ลัย และบุคลากรในไทย ก็ต้องเริ่มปรับตัว และเปลี่ยนแปลงให้รอดจากการปิดตัว และเป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของแรงงานในอนาคตให้ได้
อ้างอิงจาก
https://www.timeshighereducation.com/
Illustration by Waragorn Keeranan