กลายเป็นภาพซ้ำๆ ที่เราเห็นกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา กับการที่นักเรียนหลายๆ คนต้องเข้าร่วมกิจกรรมวันแม่ในโรงเรียน โดยที่แม่ของพวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมได้ ขณะเดียวกัน เขายังถูกรายล้อมด้วยเพื่อนคนอื่นๆ ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่
ต่างกันตรงที่แม่ของพวกเขาไม่สามารถมาได้ แผลที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ยิ่งถูกภาพเพื่อนๆ เข้ามาทับและเปรียบเทียบ หรือในบางครั้งเราก็ยังเห็นการแก้ไขปัญหาของโรงเรียน ด้วยการให้ ‘พ่อ’ มานั่งที่เก้าอี้แทนแม่ บ้างก็เป็นคุณครูที่อาสามานั่งแทน เพื่อให้เด็กรู้สึกไม่แปลกแยกจนเกินไปนัก
เมื่องานวันแม่สร้างบาดแผลในจิตใจและความแปลกแยก
เด็กนักเรียน และอดีตนักเรียนที่เติบโตขึ้นมาแล้วหลายๆ คนได้บอกเล่าเรื่องราว ความเจ็บปวดทางจิตใจในงานวันแม่ของโรงเรียน นี่คือเรื่องราวบางส่วนที่เราได้รับฟังมา
“เราคนนึงที่แม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก มันแย่มากนะที่ให้เราไปนั่งคนเดียวแบบนั้น เหมือนมันตอกย้ำว่าเราไม่มีใครแล้ว เป็นปมติดชีวิตไปตลอด ใครไม่เป็นเราคงไม่เข้าใจ และอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันแย่แค่ไหน ที่ต้องมานั่งร้องไห้ ดูคนอื่นกอดแม่ กราบแม่กัน” วุฒิธิพงษ์ วัยรุ่นคนหนึ่งที่เคยเจอประสบการณ์นี้ระบุ
“มันกลายเป็นว่าเรากลัววันนี้ไปเลย” พรธิดา นักศึกษาวัย 20 ปีบอกกับเราถึงความรู้สึกที่ยังติดอยู่จนถึงตอนนี้ “พ่อแม่เราแยกทางกันตั้งแต่เรายังเด็กๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนิทกับแม่ใหม่ขนาดนั้น พอโตขึ้นมาแล้วมีงานนี้ทีไร เพื่อนก็จะถามตลอดเลยว่าทำไมแม่เธอไม่มาล่ะ มันลำบากใจที่จะตอบนะ”
ความรู้สึกแปลกแยกท่ามกลางครอบครัวอื่นๆ ที่แม่เดินทางมาเข้าร่วมในงาน ยังเป็นสิ่งที่ รินรดา นักเรียนโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เคยเผชิญมา
“หนูกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่อยู่กับย่าและปู่ เพราะแม่ไปทำงานต่างจังหวัด จะให้ญาติคนอื่นมาแทนเขาก็ไม่ว่าง ตั้งแต่เรียนมัธยม ก็น้อยใจมาตลอดว่าทำไมต้องมีงานแบบนี้ อย่างงานวันแม่เมื่อวันก่อน เราก็เครียดนะ ถ้าใครไม่อยู่ในจุดนี้ก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่มานั่งเองตรงนั้นก็คงไม่รู้ ” รินรดา อธิบายให้เราฟัง
เสียงเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนงานวันแม่ในโรงเรียน
ประเด็นเรียกร้องให้ทั้ง ‘ยกเลิก’ และ ‘ปรับเปลี่ยน’ งานวันแม่ในโรงเรียน ยังมาจากผู้ใหญ่ในสังคมเราหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือศิลปินรุ่นใหญ่อย่าง ศุ บุญเลี้ยง เจ้าของเพลง ‘อิ่มอุ่น’ ที่พูดถึงความรักต่อแม่โดยตรง
“เพราะการให้ผู้ปกครองมาโรงเรียนในวันสำคัญ เป็นการสร้างความสะเทือนใจให้กับนักเรียนซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถจะมาร่วมงานได้ จะด้วยเหตุผล ที่เป็นเด็กกำพร้า หรือว่าครอบครัวหย่าร้าง แม้กระทั่งไม่ว่าง ไม่สะดวกที่จะมาโรงเรียนในวันนั้นๆ” เจ้าของเพลงอิ่มอุ่น อธิบาย
ในอีกโอกาสหนึ่ง เขายังได้ขยายความผ่านรายการโทรทัศน์ด้วยว่า “ไม่ได้ต้องการยกเลิกงาน แต่ต้องการยกเลิกการเชิญแม่มา ประเด็นนี้แหละที่ผมยกมา มาโรงเรียนแล้วกลับบ้านเอาพวงมาลัยไปไหว้แม่ที่บ้าน ซึ่งนี้คือวัฒนธรรมที่ดี ที่ถูกกาลเทศะ การกราบพ่อกราบแม่ กราบในวาระ ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นโชว์บนเวที”
ด้าน ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ ผู้พยายามผลักดันให้สังคมเข้าใจเรื่องคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว และนำเสนอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมวันแม่ที่โรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ก็ให้ความเห็นที่ชัดเจนว่า “ยกเลิกกิจกรรม กราบพ่อแม่ที่โรงเรียน ไม่ควรมีเด็กแม้แต่คนเดียวถูกทำร้ายจิตใจจากกิจกรรมนี้”
เสียงคัดค้านกิจกรรมวันแม่ที่โรงเรียน ดูเหมือนจะไปถึงรัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการอย่าง คุณหญิง กัลยา โสภณพนิช ซึ่งให้ความเห็นว่า สังคมไทยยังจำเป็นต้องมีกิจกรรมวันแม่ที่โรงเรียนอยู่ แต่รูปแบบของกิจกรรมนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ (แต่จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่เห็นความชัดเจนที่เป็นคำสั่งกระทรวง หรือจุดยืนอย่างเป็นทางการว่า ควรยกเลิกกิจกรรมที่จัดให้แม่มาโรงเรียนหรือไม่)
วันแม่ในบริบทสังคมไทย และความเปลี่ยนแปลง
แม้รูปแบบกิจกรรมที่เชิญให้แม่มาโรงเรียนนั้น จะเกิดขึ้นกับหลายๆ โรงเรียน แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรม ให้กระทบจิตใจเด็กนักเรียนที่แม่ไม่สามารถมาได้ด้วยเช่นกัน
บางโรงเรียนใช้วิธีการให้แต่ละห้อง/ชั้นเรียน ส่ง ‘ตัวแทน’ มาร่วมงานวันแม่ เช่น ให้หัวหน้าห้องหรืออาสาสมัครในห้องไปเป็นตัวแทน หรือ บางโรงเรียนก็เลือกที่จะไม่เชิญแม่นักเรียนมาเลย แต่เปลี่ยนกิจกรรมเป็นรูปแบบอื่นแทน
ภาพครอบครัวที่หลากหลายของสังคมไทย
แม้เราจะยังไม่สามารถสืบค้นได้ว่า งานวันแม่ในโรงเรียนไทยนั้นเริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อไหร่ หากแต่หลายๆ ครั้งเมื่อเกิดข้อถกเถียงเช่นนี้ มักจะมีกำแพงสำคัญเป็นความเห็นว่า ‘นี่คือสิ่งที่ทำกันมานานแล้ว จึงควรทำกันต่อๆ ไป’
อย่างไรก็ตาม แม้กิจกรรมจะรูปแบบคงเดิม แต่เราต้องยอมรับว่า ภาพหรือจินตนาการของ ‘ครอบครัว’ ในสังคมไทยกำลังเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ คุณพ่อ-คุณแม่ เลี้ยงเดี่ยว หรือ ภาพของครอบครัว LGBTQ ที่อาจไม่มีแม่ (ในนิยามแบบเดิม) ก็ได้
ขณะที่สถิติการหย่าร้างในประเทศไทย จากการสำรวจของกระทรวงมหาดไทย ก็พบว่าในเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิม 25 เปอร์เซ็นต์ของคู่จดทะเบียนสมรสในปี 2549 ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 39 เปอร์เซ็นต์ในปี 2559 สถิติที่ว่านี้ก็น่าจะชี้ภาพให้เราเห็นได้เหมือนกัน ถึงภาพที่เด็กหลายคนอาจไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อและแม่
ทั้งเหตุผลเรื่องบาดแผลด้านจิตใจ และความแปลกแยกในเด็กนักเรียน ตลอดจนจินตนาการเรื่องครอบครัวที่กำลังเปลี่ยนไป นี่อาจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่เราต้องหันมาทบทวนกันว่า กิจกรรมวันแม่แบบเดิมๆ ในโรงเรียนไทย ต้องเปลี่ยนตามไปด้วยหรือไม่?
อ้างอิงจาก