หลังเกิดเหตุใหม่ๆ หลายคนอาจไม่วางใจ ‘นามสกุล’ ของเธอ ว่าจะทำให้กระบวนการคืนความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียถูกบิดเบือนหรือไม่ กระทั่งมีคนปลอมแชตที่อ้างว่าพ่อของเธอกำลัง “เคลียร์กับนักข่าวอยู่”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สารพัดคำพิพากษาที่ออกมาได้ยืนยันว่า ความยุติธรรมยังมีอยู่จริง คนผิดต้องถูกลงโทษ (แม้บทลงโทษจะถูกลดหย่อนไปตามวัยของเธอในวันเกิดเหตุ) และผู้สูญเสียและญาติๆ ต้องได้รับการชดเชย
แม้ระยะเวลา 9 ปีอาจเป็นช่วงเวลาที่ดูนานอยู่สักหน่อย แต่ปัจจัยที่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ญาติๆ ของผู้เสียชีวิต ต้องออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านสื่อ ผู้บาดเจ็บรายหนึ่งต้องทวีตข้อความด้วยอาการอัดอั้น ก็คือ ‘ท่าที’ ของเธอ ครอบครัว ทนายความ และญาติๆ
“เราเข้าใจเลยว่าเธอไม่ตั้งใจ มันคืออุบัติเหตุ แต่หลังจากนั้นหรือเปล่าสิ่งที่เพื่อนมนุษย์เขาปฏิบัติต่อกัน”
“เงินแค่นั้นแลกกับการโดนชนแบบนั้น เราถามว่ามีใครอยากได้บ้าง แลกกับเสียลูกไปใครอยากได้บ้าง?”
วันเปลี่ยนชีวิต
ราวสามทุ่มครึ่งของวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2553 ระหว่างเดินทางกลับจากมหาวิทยาลัยและกลับจากที่ทำงานก่อนวันหยุดยาวปีใหม่ ผู้โดยสารบนรถตู้โดยสารจาก ม.ธรรมศาสตร์ – หมอชิต รวมคนขับ 14 คน บนโทลล์เวย์ ขาเข้า บริเวณสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ คงไม่คาดคิดว่านี่จะเป็นการเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
บางคนจากไปโดยไม่ทันได้ร่ำลาคนที่เขารักด้วยซ้ำ
รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ทะเบียน ฎว 8461 ได้พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงกระแทกด้านหลังของรถตู้ด้านซ้ายมืออย่างแรง จนรถทั้งคู่เสียหลักกระแทกกับแท่งคอนกรีตกั้นถนน แรงชนทำให้รถตู้พลิกตะแคงและผู้โดยสารบางส่วนตกไปยังถนนวิภาวดีรังสิตที่อยู่เบื้องล่าง 20 เมตร
ส่วนรถซีวิคหมุนคว้างไปจอดเลยที่เกิดเหตุราว 50 เมตร หญิงสาวที่เป็นคนขับได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย รู้ภายหลังว่าเป็นครอบครัวนามสกุลดัง และมีอายุเพียง 16 ปี 6 เดือน – ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะทำใบขับขี่ได้ คือ 18 ปี
อุบัติเหตุดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 1 ราย บาดเจ็บ 6 ราย (รวมเธอคนนั้นด้วย)
เนื่องจากเป็นข่าวใหญ่ ตำรวจจึงเร่งทำคดีทันที ก่อนเรียกผู้ขับรถซีวิค ทราบชื่อภายหลังคือ ‘แพรวา’ มารับทราบข้อกล่าวหา และเนื่องจากผู้สูญเสียหลายๆ คนเป็นนักศึกษาและบุคลาการภายใน ม.ธรรมศาสตร์ ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งทีมทนายเข้ามาช่วยเหลือ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา 8 ปี 6 เดือนที่ยาวนาน ในการทวงความยุติธรรม การชดใช้ และการสำนึกผิด
คำขอโทษ ขนมเปี๊ยะ และการถ่ายรูป
วรัญญู เกตชู ที่กระดูกไหปลาร้าหัก เข่าซ้ายแตก ต้องเข้าเฝือกท่อนล่าง นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง 2 เดือน และใช้เวลาหัดเดินนานนับปีกว่าจะกลับมาเดินได้ตามปกติ จากเหตุการณ์ดังกล่าว เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ผ่านทวิตเตอร์ @tintinwarunyoo ว่า ครั้งแรกที่เจอแพรวาในโรงพยาบาล เธอนั่งรถเข็นมาในห้องพร้อมกับแม่ “ขอโทษพี่เขาสิลูก” “หนูขอโทษค่ะ” พร้อมกับมอบขนมเปี๊ยะบ้านอัยการและถ่ายรูป (วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2553 หลังเกิดอุบัติเหตุสามวัน)
“ตอนนั้นไม่รู้สึกถือโกรธแล้วเพราะมันคืออุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจ เราก็รู้สึกดีนะที่มาขอโทษ ที่เขาไม่พูดเพราะเขายังเด็กอาจจะกลัวด้วย พอน้องออกไป พี่พยาบาลก็มาเล่าว่าน้องเขาเดินมาปกตินะ แต่มาขอรถเข็นหน้าวอร์ด เราเลยอึ้งไปพักนึง” วรัญญูว่าไว้
เขายังเล่าถึงความลำบากในการต่อสู้คดีตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่มองว่า ฝั่งแพรวาต้องการประวิงเวลา สู้คดีจนครบทั้ง 3 ศาล ในคดีอาญาและคดีแพ่ง วันนัดไกล่เกลี่ยก็มาสาย วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกาก็ไม่มาปรากฎตัว จนเขาเองรู้สึกเหนื่อย ต้องเสียเวลา เสียเงินทอง แถมเดินทางมาไกลจากต่างจังหวัด ทุกครั้งที่เจอแม่ของคนขับรถตู้ (ที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วย) เขาจะได้รับการยกมือไหว้ขอโทษ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากแพรวา
“เงินไม่ใช่ปัญหา แต่มันเป็นเรื่องของความใส่ใจต่างหาก ที่เราไม่รู้สึกเลย” หนึ่งในผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนโทลล์เวย์ดังกล่าว บรรยายไว้ในกลุ่มข้อความทวีต ที่มาพร้อมแฮชแท็ก #แพรวา9ศพ #เราอยู่ในรถตู้คันนั้นแต่เราไม่ตาย
ขณะที่พ่อแม่ของผู้เสียชีวิตหลายคนที่ไปบอกเล่าประสบการณ์ในการต่อสู้คดีผ่านสื่อ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า แทบไม่ได้รับการสำนึกผิดอย่างจริงใจจากฝั่งแพรวาเลย แถมยังเจอคำพูดเชิงปรามาสว่า “อยากได้เงินเหรอ ก็สู้กันยาวๆ ไปเลย”
กว่าจะได้ความยุติธรรม
ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นอาญาแผ่นดิน ตำรวจมีหน้าที่ในการทำคดีและส่งฟ้องต่อศาล
5 มกราคม พ.ศ.2554 แพรวาเข้ารับทราบข้อกล่าวหาจากตำรวจ สน.วิภาวดี และเนื่องจากยังเป็นผู้เยาว์จึงถูกส่งตัวไปควบคุมไว้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ก่อนที่ครอบครัวจะเดินทางมาขอประกันตัวภายหลัง
วีระศักดิ์ ทัพขวา ทนายความจากศูนย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้สูญเสียและญาติในการทำคดีแพ่ง (คดีอาญา ตำรวจและอัยการทำ) เล่าให้ฟังว่า คดีแพรวาแบ่งเป็น 2 คดี คือคดีอาญาและคดีแพ่ง ซี่งสิ้นสุดแล้วทั้งสองคดี
ในส่วนของคดีอาญา ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินถึงที่สุดแล้ว (เพราะศาลฎีกา ไม่รับการขอฎีกาของฝ่ายแพรวา) ในปี 2556 ให้ลงโทษจำเลยใน 3 รูปแบบ
- จำคุก 2 ปี แต่เนื่องจากเป็นความผิดครั้งแรก รู้สึกในการกระทำผิด และบรรเทาความเสียหายบางส่วน จึงเปิดโอกาสให้กลับตัวเป็นคนดี เปลี่ยนเป็นรอการลงโทษ 4 ปี โดยให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน
- ให้ทำงานบริการสังคมด้วยการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุรวม 144 ชั่วโมง
- ห้ามขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุ 25 ปีบริบูรณ์
“เท่าที่ทราบ ถึงปัจจุบัน ตัวแพรวาได้รับโทษทางอาญาจนครบถ้วนแล้ว” วีระศักดิ์กล่าว
ในส่วนของคดีแพ่ง เรียกค่าสินไหมฐานละเมิด วีระศักดิ์เล่าว่า ตอนแรกผู้เสียหายและญาติๆ ได้แยกฟ้องกันเป็น 13 คดี ต่อมาถึงได้รวมกันเป็นคดีเดียว โดยศูนย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เข้าไปช่วยว่าความตั้งแต่ต้น
สำหรับคดีแพ่งก็เช่นกัน คือคดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลชั้นต้นให้แพรวา พ่อแม่ และผู้ให้แพรวายืมรถขับ (เป็นชายอายุ 31 ปี สนิทสนมกับแพรวา ถึงขั้นเคยไปรับไปส่งที่บ้าน) ชดใช้ค่าสินไหมรวมกัน 26.06 ล้านบาท ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้ลดหย่อนค่าเสียหายลง 20% เหลือ 21.63 ล้านบาท (หลังจากฝั่งแพรวาอ้างว่าคนขับรถตู้เองก็ประมาทด้วย) แต่ศาลฎีกาก็มีคำพิพากษากลางปี 2562 ให้ยึดค่าสินไหมตามศาลชั้นต้น เป็น 25.26 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีนับแต่วันละเมิด
โดยระหว่างนั้น มีผู้บาดเจ็บรายหนึ่งกับพ่อแม่ สามารถตกลงกับฝ่ายแพรวาได้ ทำให้ถอนฟ้อง จำนวนได้รับค่าสินไหมทั้งหมดจึงเหลือเพียง 25 คน (จากเดิม 28 คน)
วีระศักดิ์กล่าวว่า หลังจากนี้ก็เป็นขั้นตอนการบังคับให้ฝ่ายจำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา คือชำระเงินภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตาม ฝ่ายโจทก์สามารถแจ้งกรมบังคับคดี ให้ช่วยบังคับคดีได้ โดยอาจมีการสืบทรัพย์สินเพื่อให้ได้เงินเพียงพอต่อการจ่ายค่าสินไหม
“เราหวังว่าจำเลยจะชดใช้ค่าสินไหมให้กับโจทก์ทั้งหมด เพราะไม่ใช่แค่เยียวยาความเสียหาย ยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดด้วย” ทนายความของศูนย์นิติศาสตร์ ระบุ
ไทม์ไลน์คดีความ
27 ธันวาคม 2553 – วันเกิดอุบัติเหตุ
31 ธันวาคม 2553 – แพรวากับแม่ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล
05 มกราคม 2554 – (คดีอาญา) แพรวารับทราบข้อหาจากตำรวจ สน.วิภาวดี และถูกฝากขัง
22 มิถุนายน 2554 – (คดีอาญา) อัยการยื่นฟ้องแพรวาต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
25 ตุลาคม 2554 – (คดีแพ่ง) ผู้เสียหายและญาติยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 113.08 ล้านบาท
31 สิงหาคม 2555 – (คดีอาญา) ศาลชั้นต้น จำคุกแพรวา 3 ปี เปลี่ยนเป็นรอลงอาญา 3 ปี / ให้รายงานตัวทุก 3 เดือน / ทำงานบริการสังคม 48 ชั่วโมง / ห้ามขับรถยนต์จนอายุ 25 ปีบริบูรณ์
22 เมษายน 2557 – (คดีอาญา) ศาลอุทธรณ์ เพิ่มโทษรอลงอาญาเป็น 4 ปี และเพิ่มการทำงานบริการสังคมเป็น 144 ชั่วโมง (3 ปี ปีละ 48 ชั่วโมง)
11 พฤษภาคม 2558 – (คดีอาญา) ศาลฎีกาไม่รับฎีกา – คดีอาญาสิ้นสุด
26 พฤศจิกายน 2558 – (คดีแพ่ง) ศาลชั้นต้นสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหม 26.06 ล้านบาท
ปลายปี 2559 – (คดีอาญา) แพรวาทำงานบริการสังคมครบ 144 ชั่วโมง
18 มิถุนายน 2560 – (คดีแพ่ง) ศาลอุทธรณ์สั่งลดค่าสินไหมเหลือ 21.63 ล้านบาท
05 พฤษภาคม 2562 – (คดีแพ่ง) ศาลฎีกาสั่งเพิ่มค่าสินไหมเป็น 25.26 ล้านบาท – คดีแพ่งสิ้นสุด
ยังเหลือเพียงโทษชำระค่าสินไหม 25 ล้านบาทเศษเท่านั้น ที่แพรวาและครอบครัวต้องชดใช้
ชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
หลังเป็นข่าวใหญ่ช่วงปลายปี 2553 ต่อเนื่องถึงปี 2554 หลังจากนั้นแม้สื่อจะนำเสนอความคืบหน้าการดำเนินคดีกับแพรวาอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าครั้งเกิดเหตุแรกๆ
หลายปีก่อน มีคนนำรูปเธอในงานรับน้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ผู้คนก่นด่าเธอที่ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยิ้มแย้มมีความสุข ทั้งที่ก่อเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
แต่ความสนใจต่อชีวิตของแพรวาในวันนั้น ก็ไม่เท่ากับความสนใจรอบล่าสุด ที่เริ่มต้นจากการนำตัวญาติผู้สูญเสียไปออกรายการโทรทัศน์ดังรายการหนึ่ง ในวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากนั้นผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ก็ทวีตเล่าความยากลำบากในการติดตามคดีตลอด 9 ปีที่ผ่านมา และทวงถามการสำนึกเสียใจ และการดูแลผู้สูญเสียอย่างเพียงพอ ที่พวกเขาไม่เคยได้รับ
ทั้งที่คดีอาญาและคดีแพ่ง สิ้นสุดไปแล้ว โดยศาลตัดสินให้แพรวาและครอบครัวต้องชดใช้แก่ผู้สูญเสีย
หลังจากนั้น โลกออนไลน์ก็ลุกเป็นไฟ #แพรวา9ศพ กลายเป็นแฮชแท็กยอดฮิตในทวิตเตอร์ พร้อมกับการขุดประวัติต่างๆ ของแพรวามาตีแผ่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปลี่ยนชื่อจริงถึง 3 ครั้ง (อรชร เป็นบัวบูชา และรวินภิรมย์) เปลี่ยนนามสกุลจากของพ่อเป็นของแม่ การแต่งงาน (ที่ภายหลังสามีออกมายอมรับว่าแต่งงานจริง ก่อนจะหย่าร้างในปีถัดมา) และความพยายามในการสอบเข้ารับราชการในกระทรวงกลาโหม แต่สอบไม่ติด
คนในตระกูลเทพหัสดิน ณ อยุธยา ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันว่า ความผิดของครอบครัวแพรวา เป็นเรื่องของครอบครัวนั้นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลที่มีสมาชิกกว่า 900 คน พร้อมเรียกร้องให้เจ้าตัวออกมาขอโทษสังคม และเร่งชดใช้ค่าสินไหม 25 ล้านบาทเศษ โดยคนในตระกูลได้ลงขันเงิน 5 แสนบาทเป็นค่าใช้จ่ายของเหยื่อในการติดตามบังคับคดี
แม่ของแพรวาต้องนำโฉนดที่ดิน 2 แปลง ใน จ.ประจวบคีรีขันธ์และ จ.นนทบุรี มูลค่ารวมกันกว่า 100 ล้านบาท ไปประกาศขายผ่านรายการโทรทัศน์ และบอกว่าแพรวามีภาวะซึมเศร้า ไม่รู้จะฆ่าตัวตายวันไหน “ครอบครัวเราเหมือนตายทั้งเป็น”
แต่ใช่ว่าจะมีแต่ชีวิตของแพรวาที่เปลี่ยนไป ชีวิตของผู้สูญเสียและญาติก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พ่อของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งตรอมใจตายตามบุตรชาย แม่ของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งต้องกลับไปทำงานหนักร้อยพวงมาลัยขายตามเดิม หลังลูกชายที่สัญญาว่าจะทำให้ชีวิตของแม่สบายขึ้น จากไปด้วยอุบัติเหตุในคืนวันนั้น
บทสรุปคดีแพรวา จึงมีแต่ความสูญเสียของทุกฝ่าย
แม้กระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ จะไม่ได้ล่าช้าอย่างที่ใครๆ ตั้งข้อสังเกต หรือถูกแทรกแซงจนทำให้ไม่มีใครต้องรับโทษอย่างที่บางคนอาจเป็นห่วง แต่การจะติดตามให้ได้รับความยุติธรรมก็ยังมีอุปสรรค มีข้อจำกัด มีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งในรูปแบบของเงินทอง เวลา และการเสียโอกาสในชีวิต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่บุคคลในกระบวนการยุติธรรมจะต้องหาวิธีปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป
เช่นเดียวกับการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ทั้งการไม่ให้ผู้เยาว์ขับรถ การวางมาตรการป้องกันความสูญเสียจากการเดินทางโดยรถยนต์ขนส่งสาธารณะ เช่น สภาพคนขับพร้อมหรือไม่ ควรจะให้ผู้โดยสารทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัยไหม ฯลฯ
แม้อุบัติเหตุจะไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผู้เกี่ยวข้องจะมีวิธีบรรเทาเยียวยาความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างไร เพราะแค่ตัวเงินอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ (ไม่รวมถึงว่า บางคนกระทั่งตัวเงินก็ยังไม่ยอมชดใช้)
หวังว่าคดีแพรวาจะเป็นอุทาหรณ์ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันซ้ำขึ้นมาอีกในอนาคต
สำหรับแพรวาและครอบครัว ยังมีโอกาสสุดท้ายในการแก้ตัว นั่นคือรีบนำเงินค่าสินไหมไปชดเชยให้กับผู้เสียชีวิต และกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจต่อผู้สูญเสียและผู้เกี่ยวข้อง
แม้อาจจะล่าช้า สายเกินไป แต่เชื่อว่าคงไม่ไร้ค่า