ถ้าพูดถึง ‘คนพิการ’ แวบแรกคุณนึกถึงอะไร
“โหยหาความรักความเมตตา…” เสียงเพลงคุ้นเคยของรายการวงเวียนชีวิต ที่บ่อยครั้งนำเสนอภาพคนพิการ ลำบาก อดอยาก และน่าสงสาร ภาพอันน่าหดหู่อาจทำให้บางคนผุดประโยคขึ้นในใจว่า “เรายังโชคดีกว่าเขาตั้งเยอะ” ขณะเดียวกัน ภาพคนพิการที่เรียนเก่ง เล่นกีฬาดี หรือแข็งแกร่งสู้ชีวิต ก็ถูกนำเสนอเพื่อให้ใครต่อใครชื่นชม ปรบมือ (ในใจ) และเอาเป็นไอดอล พร้อมกับประโยคที่ผู้ใหญ่มักเอามาบอกเด็กๆ ว่า “เห็นไหม ขนาดเขาพิการยังทำได้เลย” (หรืออาจใช้คำนี้กับเด็กพิการโดยบอกว่า “เขาก็พิการ ยังทำได้เลย”)
ตราบที่ยังไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง การนำเสนอแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิด หากแต่การโหมนำเสนอภาพของ ‘มนุษย์’ (ไม่ว่าเขาจะพิการหรือไม่ก็ตาม) ด้วยเจตนาที่ตั้งธงไว้อยู่แล้ว ย่อมเป็นการให้รายละเอียดของชีวิตที่ไม่ครบถ้วน คับแคบ และแบนไร้มิติ แทนที่จะมนุษย์จะได้รู้จักกัน เข้าใจกัน มองเห็นกันและกันบนความหลากหลาย กลับกลายเป็นระยะห่างที่มากขึ้นเรื่อยๆ
‘คนไม่พิการ’ จึงมองเห็น ‘คนพิการ’ เป็น ‘คนอื่น’ ไปโดยไม่รู้ตัว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ thisable.me พยายามจะนำเสนอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปปี 2558 ชูเวช เดชดิษฐรักษ์ ที่ขณะนั้นทำงานด้านสิทธิคนพิการและอาสาสมัครเพื่อคนพิการที่จังหวัดนครปฐม ภายใต้กลุ่มชื่อ Gen-V for Disability ได้มาขอความช่วยเหลือกับรุ่นพี่นักข่าวของสำนักข่าวประชาไท เพื่อจัดค่ายอบรมการเขียนข่าวให้กับคนพิการและไม่พิการ เพื่อเป็นต้นทุนในการสร้างสำนักข่าวคนพิการขึ้นมา
นลัทพร ไกรฤกษ์ และ คชรักษ์ แก้วสุราช พิมพ์ใบสมัครไปโดยไม่คิดอะไรมาก จากการอบรมในค่ายไม่กี่วัน เขาสองคนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่ม ก่อนที่สำนักข่าวที่ค่อยๆ เติบโตจากความตั้งใจได้กลายเป็นเว็บไซต์ thisable.me ผ่านการสนับสนุนเงินทุนจากมูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน
เนื้อหาของ thisable.me ประกอบด้วยข่าวสารในประเทศและต่างประเทศ ‘WHOLE IN ONE’ รายการตั้งคำถามชวนคิดเพื่อรับฟังความหลากหลาย และ ‘Where Chill View Share’ รายการคนพิการและคนไม่พิการที่ออกเที่ยวทั่วไทย โดยมี นลัทพร เป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ คชรักษ์ เข้ามารับผิดชอบรายการ WHOLE IN ONE ขณะที่ ชูเวช ถอยออกมาเป็นเสมือนที่ปรึกษารายสะดวก และได้รับความช่วยเหลือจากพี่ๆ ในสำนักข่าวประชาไทในฐานะนักข่าวมืออาชีพ
เมื่อเราถามว่าข่าวแบบไหนที่ thisable.me เลือกทำ บรรณาธิการเว็บไซต์ thisable.me พูดถึงบทบาทของตัวเองว่า “เราจะนำเสนอข่าวที่กระทบเรื่องสิทธิ เรื่องความเป็นคน ข่าวรายวันที่คนอื่นนำเสนอ เราก็ทำ แต่นำเสนอให้คนพิการเท่ากับคนอื่นมากขึ้น”
เบื้องต้นเราชวนคุยถึงบทบาทงานของพวกเขา ก่อนจะขยับไปถามถึงมุมมองต่างๆ ต่อ ‘คนพิการ’ ซึ่งผม-ในฐานะคนไม่พิการ พบว่าหลายเรื่องตัวเองไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย
The MATTER : จุดเริ่มต้นของเว็บไซต์ thisable.me เกิดขึ้นได้ยังไง
ชูเวช : ปี 2558 ผมทำงานด้านสิทธิคนพิการและอาสาสมัครเพื่อคนพิการที่จังหวัดนครปฐม ภายใต้กลุ่มชื่อ Gen-V for Disability ก่อนหน้านั้นเคยจัดค่าย แล้วมีอาสาสมัครคนนึงพูดถึงการทำสำนักข่าวคนพิการ ประเด็นคนพิการขายง่ายก็จริง แต่มีความซับซ้อนและกดทับคนพิการได้ง่าย เราอยากทำงานกับคนที่เชื่อในเรื่องสิทธิมนุษยชน เลยมาชวนพี่ๆ นักข่าวประชาไทจัดค่ายสอนเขียนข่าว (ค่ายอบรมอาสาเขียนข่าวเพื่อศักดิ์ศรีและสิทธิคนพิการ) ผู้เข้าร่วมเน้นที่คนพิการ มีคนไม่พิการด้วย ซึ่งทั้งหนู (นลัทพร ไกรฤกษ์) และรัก (คชรักษ์ แก้วสุราช) คือผู้เข้าร่วมปีนั้น ตอนนั้นยังคิดภาพสำนักข่าวไม่ออกหรอก ผมมีเพื่อนทำเพจ พลิกฟื้นผืนดินไทย เขาทำเรื่องยากๆ อย่างเรื่องการปฏิรูปที่ดิน มีคนไลค์และแชร์หลายพัน เลยมองว่าการสื่อสารเป็นเครื่องมือที่มีพลัง
The MATTER : ทั้งสองคนสมัครมาเข้าค่ายได้ยังไง
คชรักษ์ : ผมเจอโพสต์ในเฟซบุ๊ก ตอนนั้นเรียนปีสอง (คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม) อยู่ในช่วงค้นหาค่ายต่างๆ แล้วสมัครไป ผมอยากสมัครเพราะเป็นการเขียนข่าว พอมาเจอจริงๆ ในห้องมีแต่คนพิการ ทีแรกก็ตกใจ ถ้ารู้ว่ามีคนพิการเยอะขนาดนี้ เราอาจเปลี่ยนใจนะ ผมไม่มีญาติหรือเพื่อนเป็นคนพิการเลย คนพิการเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ได้สนใจ แต่พอมาอยู่ในค่าย จำได้ว่าวันแรกที่ไปกินข้าว ทีมงานบอกให้นั่งรถพี่คนนึงไปกินข้าว เขาใช้วีลแชร์ เรามีคำถามเลยว่า ไปยังไงวะ แล้วต้องช่วยไหม สุดท้ายพบว่า พี่เขาทำได้เองหมด แถมพาเราไปกินข้าว จากที่มาด้วยความสนใจเรื่องการเขียน ผมเลยได้รู้จักคนพิการมากกว่าเดิม
นลัทพร : เป็นช่วงรอรับปริญญา (คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เราไม่เคยอ่านประชาไทมาก่อน รุ่นพี่คนนึงแชร์มา ตอนนั้นว่างพอดี ปกติแม่ไม่ให้ไปไหนไกลๆ เลยอยากไปค้างข้างนอกคนเดียวบ้าง ประเด็นก็น่าสนใจด้วย เรื่องคนพิการ เราซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA (Spinal Muscular Atrophy) น่าจะมีประเด็นร่วม ส่วนตัวไม่ได้สนใจเรื่องเขียนขนาดนั้น เราแค่อยากไปลองดู อยากรู้จักคนใหม่ๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร
ตอนเข้ากลุ่มย่อย อยู่กลุ่มเดียวกับพี่ชูวัส (ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการบริหารเว็บไซต์ประชาไท) ในกลุ่มคุยกันเรื่องปัญหาต่างๆ ของคนพิการ เลยได้ทบทวน เมื่อก่อนเราไม่เคยสนใจว่าคนพิการขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้ เป็นปัญหายังไง ไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ บ้านเราสนับสนุนได้ ไม่ต้องเจอปัญหา เลยไม่ได้ใช้สิทธิต่างๆ การที่คนพิการไม่ได้รับสิทธิไม่กระทบเรา หรือเรื่องการเรียนก็ไม่กระทบ เรียนโรงเรียนนี้ไม่ได้ก็ย้าย เราไม่เคยจริงจังกับปัญหาคนพิการมาก่อน
ชูเวช : ตอนแบ่งกลุ่มย่อย มีคนนึงเสนอให้ยกคนพิการที่เรียนจบเป็นไอดอล เด็กคนนึงทำตาขวาง ก็คือหนู (หัวเราะ) ทุกคนในห้องเลยสนใจ มันเป็นอะไรวะ
นลัทพร : เวลายกคนพิการเป็นไอดอล มันเจ็บปวดนะ เวลาพ่อแม่บอกให้เราเป็นอย่างคนนี้ ยิ่งเราไปเข้ากลุ่มเด็กที่ป่วยเป็น SMA แล้วมีคนพูดว่า “ดูสิ พี่หนูยังเรียนจบปริญญาตรีได้เลย” มันไม่ใช่เรื่อง เราทำได้ ไม่ได้แปลว่าเขาต้องทำได้ ความคาดหวังแบบนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกดี บางครั้งคนถูกเปรียบเทียบกลับโทษตัวเองด้วยว่า ทำไมตัวเองทำไม่ได้
เวลาคุณบอกว่า ยกย่องคนพิการที่เรียนจบ ใช่ คนพิการจบปริญญาตรีคงไม่เยอะ แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่า การเรียนจบปริญญาตรีของเราโคตรธรรมดา คนพิการจบปริญญาเอกก็มี เราไม่เข้าใจว่ามันเปรียบเทียบกับอะไร ในประเทศไทยคนเรียนจบปริญญาตรีเยอะแยะ ทำไมคนพิการเรียนจบปริญญาตรีถึงกลายเป็นคนเก่ง เวลามีคนชม “อุ๊ย เป็นแบบนี้ยังเรียนจบปริญญาตรีเลย” เราตลก ไม่ชอบ คืออะไรวะ มันคล้ายคำถามว่า “เป็นคนพิการได้เรียนหนังสือหรือเปล่า”
เวลายกคนพิการเป็นไอดอล มันเจ็บปวดนะ เวลาพ่อแม่บอกให้เราเป็นอย่างคนนี้ มันไม่ใช่เรื่อง เราทำได้ ไม่ได้แปลว่าเขาต้องทำได้ ความคาดหวังแบบนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกดี
The MATTER : หลังจบค่ายมา เห็นความเป็นไปได้แค่ไหน
ชูเวช : ทีแรกชวนกันมาสี่ห้าคน ชวนคุยว่าโครงสร้างปัญหาคนพิการคืออะไร ทำไมต้องมีเว็บไซต์ คุยกันหลายครั้งมาก แง่หนึ่งเราเล็งไว้ แต่เขาก็เลือกเราด้วย ตอนนั้นนัดทีไรหนูมาทุกครั้ง สะท้อนว่ามีความตั้งใจ แล้วเขามีไอเดียที่ไม่เหมือนคนพิการที่เคยเจอ เช่น เรื่องไฮไลท์ไอดอล จุดยืนเขาชัดเจน เขาไม่อยากให้ภาพโอเวอร์จากมาตรฐานที่ควรเป็น หรืออย่างรายการวงเวียนชีวิต เขาไม่โอเคด้วย เวลาเราให้อ่านโจทย์นั่นโจทย์นี่ เขามีวินัย สะท้อนมีความรับผิดชอบ มีความสม่ำเสมอ ผมเลยถามเขาว่าสนใจฝึกงานที่ประชาไทไหม เขาว่างๆ เลยมาฝึกงานที่ประชาไทเดือนพฤศจิกายน 2558 ส่วนรักเข้ามาทีหลัง หลังจากจบค่าย เขาไปเข้าค่ายที่ไหนก็ตาม จะเอาประเด็นคนพิการติดไปด้วยเสมอ
The MATTER : ตอนนั้นอยากใช้เว็บไซต์แก้ปัญหาอะไร
ชูเวช : หนึ่ง เราอยากทำให้คนทุกคนคอนเน็คกันบนความหลากหลายที่มากขึ้น มองความพิการว่าเป็นส่วนหนึ่งในความหลากหลาย สอง สิทธิคนพิการไม่ได้แยกออกไปจากสิทธิอื่นๆ ไม่ได้เป็นประเด็นเฉพาะจนไม่สามารถรวมในคำว่าสิทธิมนุษยชนได้ สาม ทำให้คนพิการมีศักยภาพที่จะสื่อสารประเด็นปัญหาของตัวเอง แต่พอเริ่มเขียนโครงการก็ต้องใช้คำว่า Inclusive Society ซึ่งมาจากความคิดเดียวกันแหละ คือเคารพความแตกต่างหลากหลาย การให้สิทธิสวัสดิการ ก็เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นสมาชิกในสังคม
The MATTER : ชื่อเว็บไซต์ thisable มาจากอะไร
นลัทพร : ตอนแรกมีหลายชื่อมาก มี thisability แต่ยาวไป คนในออฟฟิศพูดขึ้นมาว่า thisable มันพ้องเสียงกับคำว่า disable ที่แปลว่าคนพิการ เลยออกมาเป็นชื่อนี้ able แปลว่าสามารถ thisable ก็เลยหมายถึง ‘นี่แหละ ความสามารถ’
The MATTER : เนื้อหาแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง
นลัทพร : ข่าว รายการ WHOLE IN ONE รายการ Where Chill View Share บทความจากคอลัมน์นิสต์ หรือถ้าแบ่งอีกแบบ ก็เป็นงานเขียน กับงานวิดีโอ
The MATTER : เป้าหมายของรายการ WHOLE IN ONE คืออะไร
ชูเวช : ให้คนไม่พิการคอนเน็คกับคนพิการมากขึ้น ดูแล้วรู้สึกว่าใกล้ตัว เขาเป็นเพื่อนเรา ทั้งจากจังหวะเป็นกันเองของผู้ตอบ และประเด็นใกล้ตัว ใกล้ชีวิตประจำวัน วิดีโอมีอะไรบางอย่างที่เขาเชื่อมโยงได้ โดยมีรักเป็นคนทำหลัก
คชรักษ์ : คนทั่วไปมักมองคนพิการว่า ต้องน่าสงสาร หรือต้องเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นตลอดเวลา แต่พอมาสัมภาษณ์คนพิการและไม่พิการในประเด็นที่อาจเกิดความขัดแย้ง ตอนแรกผมโคตรกลัว ไม่อยากพูดเรื่องที่จะมีคนมาโจมตี ประเด็นพิพาท ผมไม่ชอบความขัดแย้ง
ตอนนั้นเรื่อง ถ้ามีลูกพิการจะทำยังไง เราแยกคำถามเป็นสองกลุ่ม คือคนไม่พิการกับคนพิการ บางคนก็บอกทำแท้งไปเลย ออกมาก็มีภาระ ซึ่งมันไปขัดกับหลายคนที่มองว่าบาปกรรม แต่การมีชีวิตมันมากกว่าแค่เรื่องศีลธรรม ชีวิตจริงๆ มีอุปสรรค คนพิการอาจไม่อยากเกิดก็ได้ ถ้าต้องเกิดมาเป็นคนพิการ เราขอไม่เกิดดีกว่า พอไปสัมภาษณ์คนพิการ บางคนก็บอกว่าเลือกได้ก็ไม่อยากเกิด
จากทุกตอนที่ทำ ผมชอบตอนเรื่องเซ็กส์ มันใหม่ ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ตอนนั้นอยากให้คนที่สงสัยว่า คนนั่งวีลแชร์ คนมองไม่เห็น เขาจะทำกันยังไง มันสะท้อนหลายเรื่อง ข่าวคนพิการจะมีแต่การเดินทาง ระบบสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องผิดนะ แต่เรื่องของคนพิการมีมากกว่านั้น เรื่องเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องที่คนในบ้านเราคุยกันอยู่แล้ว พอเป็นคนพิการก็ซ้อนเข้าไปอีก แต่เราคิดว่าเรื่องนี้น่าจะพูดได้
ชูเวช : ประเด็นมีลูกพิการแล้วทำแท้งไหม มีมวยหลายคู่มาก ตั้งแต่คนมีข้อถกเถียงว่าสิทธิมนุษยชนเริ่มต้นเมื่อไร กับสายสิทธิมนุษยชนที่เชื่อว่าต้องเป็นตัวก่อนถึงจะเรียกว่าละเมิด หรือมวยที่เกี่ยวกับศาสนา อย่าทำแท้งเลย มันบาป หรือเอาคำถามนี้ไปถามคนพิการ จำนวนมากก็โมโห ทำไมถึงไม่ให้เขาเกิดล่ะ ถามแบบนี้ได้ยังไง ขณะที่บางคนสนับสนุนการทำแท้งเสรี เพราะมีเพื่อนที่ทำแท้งเถื่อนแล้วตาย บางคนบอกว่า พูดเรื่องทำแท้งทำไม แต่ถ้าไม่พูด มันก็จะมีเด็กวัยรุ่นที่ท้องไม่พร้อมแล้วตายฟรี หรือแม่ที่ลูกออกมาแล้วพิการหนักๆ ต้องต่อท่ออะไรเยอะแยะ แต่ประเทศไทยไม่ให้ทำการุณยฆาต สุดท้ายลูกก็ต้องตายอย่างทรมาน
เสียดายที่คลิปนั้นไม่มีกระบวนการคุยต่อ แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้เห็นความเห็นที่หลากหลาย อาจมีการทำประเด็นนี้ซ้ำ แต่พัฒนารูปแบบให้มีสเปซที่ใหญ่ขึ้น โอบรับเสียงของเขามากขึ้น
The MATTER : เป้าหมายของรายการ Where Chill View Share คืออะไร
ชูเวช : ทำให้ประเด็นสิทธิคนพิการกับสิทธิอื่นๆ เชื่อมโยงกันได้ ไม่ว่าจะสิทธิชุมชน สิทธิแรงงาน สิทธิทางชาติพันธุ์ จริงๆ ประเด็นพวกนี้ มีในกรุงเทพฯ หมดเลยนะ แต่เวลาบอกว่าเรื่องสิทธิชุมชนในกรุงเทพฯ มีการไล่รื้อป้อมมหากาฬ หรือชาติพันธุ์ มีแรงงานต่างด้าวถูกลิดรอน มันไม่น่าสนใจ ก็ต้องหลอกด้วยรายการท่องเที่ยว อีกมุมก็เป็นการให้หนูได้ไปเจอ ไปเห็น มีประสบการณ์ร่วมกับปัญหาคนพิการในพื้นที่ต่างๆ
นลัทพร : ถ้าเป็นประเด็นในพื้นที่ เราลงไปก็เห็นอยู่แล้ว แต่คงไม่ได้แตกต่างจากที่ได้ยินมา แค่อันนี้ได้ไปเห็นเองเป้าหมายแรก เราอยากเจอคนพิการในพื้นที่ อันนี้เจอน้อยมาก เราอยากลงภาคใต้เพื่อเจอคนพิการ ไปจริงๆ แทบไม่มีเลย ซึ่งจริงๆ มี แต่เขาไม่ออกจากบ้าน เนื่องจากพื้นที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมา อย่างการละหมาด มัสยิดก็ไม่ได้เอื้อให้คนพิการ ออกมาก็ละหมาดไม่ได้ เราไปไม่ถึงเป้าหมายที่เจอคนพิการในพื้นที่
แต่สิ่งที่เราได้ มันคงเป็นการท่องเที่ยวครั้งแรกๆ ที่ไปกับคนอื่น ไม่ใช่คนในครอบครัว เรารู้สึกเลยว่า การที่พึ่งตัวเองไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันสร้างความลำบากให้คนที่ไปด้วยยังไงบ้าง แต่ก่อนเราไปกับครอบครัว บางครั้งไปหลายคน เราเลือกสถานที่ได้ แต่กับรายการนี้ เราไม่รู้จักสถานที่เหล่านั้น ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ตอนกลับมาจากถ่ายรายการ เวลาขึ้นรถไฟฟ้า บางครั้งเราลำไยมากที่ต้องยิ้มให้ยาม ทั้งที่อารมณ์ไม่ดี ทำไมต้องทำตัวเบิกบานเพื่อให้คนอื่นมาช่วยเหลือ เราเลยบ่นลอยๆ กับชูเวช แล้วค่อยได้คุยกัน มันคงเป็นผลจากการไปถ่ายรายการติดๆ กัน ไปห้าวันกลับมาสองวัน วนลูปสี่รอบ เรารู้สึกว่าการต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลา เช่น ขึ้นลงรถ เข้าสถานที่ท่องเที่ยว เข้าห้องน้ำ ยังต้องเรียกคนที่ไปกับเราด้วย เราเลยไม่สนุก ทั้งที่เราควรรู้สึกบันเทิงกับสถานที่เหล่านั้น
บางครั้งเราต้องบอกไปว่า ‘ไปเถอะ เดี๋ยวเรารอตรงนี้’ เขาก็อึดอัดที่ต้องทิ้งเราไว้คนเดียว เราก็อึดอัดที่ไม่ได้ไป แต่ไม่ได้อยากพึ่งเขา เลยต้องบอกว่าไม่เป็นไรตลอดเวลา มีครั้งนึงไปสามพันโบก ที่อุบลราชธานี เราอยู่ในเรือ นั่งมาทั้งวัน ขึ้นสี่พันหลุม สามพันโบก ขึ้นนู่นขึ้นนี่ พอขึ้นเราก็ต้องขี่หลังคนอื่นขึ้นไปข้างบน เราเลยไม่ขึ้น นั่งรอดีกว่า ไปถึงขนาดนั้นก็อยากขึ้นนะ แต่กึ่งๆ เกรงใจ ถ้าเราบอกว่าอยากไป คนตรงนั้นคงพาขึ้นได้อยู่แล้ว แต่พอเขาลำบาก เราเลยคิดว่า ความอยากของตัวเองไม่เท่าความลำบาก
The MATTER : พอได้ไปในสถานที่ใหม่ๆ ความแตกต่างกับการอยู่ในเมืองคืออะไร
นลัทพร : (เงียบนาน) เรื่องนึงที่เราแปลกใจ คือตอนไปดอยปุย เราไปเจอเด็กชาวดอย พวกเขาคงไม่มีคำว่า ‘คนพิการ’ อยู่ในสารบบเลย ไม่มีใครเรียกเราว่าคนพิการเลย พ่อแม่ก็ไม่ห้ามเขามาเล่นด้วย เด็กมาเกาะเกี่ยวห้อยอยู่ที่วีลแชร์ ดึงแขน ตอนนั้นเราทาเล็บสีดำ เขาก็มาแกะ เราเลยรู้สึกว่า ในพื้นที่ที่ความพิการไม่ใช่สิ่งบ่งบอกว่าคนไม่เหมือนกัน เด็กๆ หลายคนไม่ได้มองว่าเราประหลาด ชาวบ้านแถวนั้นไม่มีใครมองเราเหมือนตอนไปสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ๆ เลย เด็กวิ่งเข้ามา ชี้วีลแชร์ แล้วบอกว่า “รถเท่!” พยายามจะมาบังคับรถ เรารู้สึกเท่ไปด้วย (หัวเราะ) เราแปลกใจ เฮ้ย ทำไมเด็กที่นี่ชี้แล้วบอกว่าเท่ ขณะที่เด็กที่รู้จักความพิการมากพอ เรียกเราว่าคนพิการ ‘แม่ ขาเขาเป็นอะไร’ มองด้วยสายตาไม่ค่อยโอเค
เราไม่ได้มีปัญหากับคำว่าคนพิการนะ แต่เราแค่แปลกใจ จริงๆ เขาอาจมองว่าเราเป็นคนพิการก็ได้ แต่เขาไม่ปฏิบัติว่าคนๆ นี้ร่างกายแตกต่าง แต่เราแค่มีอุปกรณ์เพิ่มเข้ามา เด็กพยายามเอาของเล่นตัวเองมาอวดด้วยนะ เป็นรถไม้หั่นๆ ของเขา ก็มีเหมือนกันนะเว้ย
The MATTER : ข่าวแบบไหนที่ thisable.me จะนำเสนอ
นลัทพร : เราจะนำเสนอข่าวที่กระทบเรื่องสิทธิ เรื่องความเป็นคน ข่าวรายวันที่คนอื่นนำเสนอ เราก็ทำ แต่นำเสนอให้คนพิการเท่ากับคนอื่นมากขึ้น เช่น ตอนนั้นยังทำข่าวลงเว็บไซต์ประชาไทอยู่ มีเรื่องพระตัวเตี้ย (คนแคระ) แล้วโดนจับสึก สื่อเล่นข่าวเยอะมาก คนไปตามเฟซบุ๊กพระรูปนี้ว่าเป็นคนยังไง แล้วนำเสนอว่า เป็นเด็กแว้นมาก่อน สักตามตัว พฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่เรามองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เขาเป็นคนยังไง เลยขอสัมภาษณ์พระมหาไพรวัลย์ คำตอบคือ การบวชมีข้อกำหนดแบบนั้นจริงๆ คนพิการไม่สามารถบวชได้ แต่ในทางปฏิบัติ เขาไม่ควรโดนจับสึก คนที่ต้องได้รับโทษคือพระที่ให้บวช
เราถามต่อว่า ตามหลักศาสนาทำไมคนพิการถึงบวชไม่ได้ ข้อกำหนดมีหลักคิดยังไง สมัยนั้นเชื่อว่าคนพิการต้องพึ่งพาต้องได้รับการสงเคราะห์ พอไม่มีข้อห้าม คนพิการหลายคนมาบวชเพราะข้างนอกไม่มีอะไรกิน ทำงานไม่ได้ การมาบวชทำให้มีข้าวกิน มีที่นอน เขาเลยเขียนว่าคนพิการบวชไม่ได้ แต่ถ้าพิการหลังจากบวชแล้ว ไม่ผิดวินัย คนในวัดต้องดูแลต่อไป
ประเด็นนี้บัญญัติไว้นานมากแล้ว ตอนนี้บริบททางสังคมเปลี่ยนไป เรารู้ว่าไม่มีใครเปลี่ยนบัญญัตินั้นได้หรอก แต่เราสนใจว่าการนำมาใช้จะพลิกแพลงได้ไหม เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
The MATTER : ถ้ามองว่า thisable.me จะมานำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับคนพิการ แล้วเมื่อก่อนเนื้อหาเหล่านี้อยู่ตรงไหน
ชูเวช : ก็อยู่ในรายการวงเวียนชีวิต อยู่ในพื้นที่ข่าวทั่วไป คนพิการเรียนจบ คนพิการแต่งงาน มาตรฐานชีวิตที่คนทั่วไปทำได้ก็มาเป็นประเด็นหมด ถ้าในรายการคนค้นคน ก็เคยมีประเด็นคนถูกกีดกันทางการศึกษา เรื่องคนพิการลึกๆ จะอยู่ในห้องประชุมเยอะ อยู่ในระดับการเจรจาของผู้นำคนพิการ
The MATTER : มองว่าปัญหาของการนำเสนอข่าวสารคนพิการคืออะไร
คชรักษ์ : ถ้าเราไม่มีญาติเป็นคนพิการ เราไม่รู้เลยนะ ทำไมต้องใส่ใจคนพิการ มันไกลตัวมากๆ ผมเคยเอาคำถามไปคุยกับเพื่อน เขาบอกว่า ไม่ได้อยากรู้ ไม่ใช่เรื่องที่น่ารู้ พอมาทำเนื้อหาเหล่านี้ ผมว่ามันไม่ได้ไกลตัวขนาดนั้น คนขาขาด เดินไม่ได้ นั่นคือข้อจำกัด นอกนั้นเขาก็คือคนๆ นึงที่ใช้ชีวิตร่วมกับเรา ประเด็นเรื่องความรัก เซ็กส์ วัฒนธรรม ศาสนา เราก็ยังคุยกันได้เหมือนเดิม เพียงแค่เขาเดินไม่ได้
นลัทพร : เราไม่ใช่คนดูข่าวมาก แต่ที่ผ่านมาก็เห็นข่าวคนพิการอยู่นะ ส่วนมากคือน่าสงสาร คนพิการอยู่ในกระต๊อบหลังน้อย รอคนเอาข้าวมาให้กิน แล้วขึ้นเลขบัญชีให้โอนมาช่วยเหลือ หรืออีกรูปแบบไปเลย เด็กพิการสาวแกร่งขาข้างเดียวทำงานเลี้ยงชีวิต ตอนเมื่อก่อนที่เห็น ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก คนพิการมีข้อจำกัดก็น่าสนใจ
แต่พอมาทำงาน มันปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความต้องได้รับการช่วยเหลือจริงๆ แต่ภาพที่นำเสนอก็อีกเรื่อง ต้องนำเสนอแบบไหน ไม่ใช่แค่นำเสนอ ช่วยเหลือเขา แล้วจบ ให้เงินแล้วไม่ได้ต่อยอดชีวิตให้ดีขึ้น หรือคนในสังคมเข้าใจจริงๆ ว่าคนพิการจะยืนด้วยตัวเองได้ยังไง ภาพที่นำเสนอว่า สงสารแล้วให้บริจาคเงิน มันไม่ใช่การทำให้เข้าใจสิทธิหรือสวัสดิการของคนพิการ หรือเข้าใจว่าคนพิการมีความเป็นคนเท่าๆ กับคนอื่น เวลามีการนำเสนอว่า สาวแกร่งสู้ชีวิต เราจะมีคำถามตลอดว่า กูไม่ได้อยากแกร่งซะหน่อย แต่สภาพสังคมแบบนี้ต่างหาก เราเลยต้องแกร่ง ต้องต่อสู้ตลอดเวลา เพื่อชีวิตจะได้ทัดเทียมกับคนอื่นในสังคม
เวลามีคนมาถามว่า “คนพิการต้องมีภาพลักษณ์ยังไงต่อสังคม เพื่อให้คนในสังคมเห็นว่าคนพิการเป็นต้นแบบที่ดี” ภาพเหล่านั้นควรหมดไปได้แล้ว ควรเลิกหยิบคนพิการเป็นต้นแบบ มันสร้างความกดดันให้คนพิการอีกหลายคนที่ไม่ได้อยากในแบบสังคมคาดหวัง เรียนเก่ง ทำงานเก่ง ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ พอไปกินเหล้า คนพิการหลายคนกลายเป็นคนเลวคูณสองเลย พิการแล้วยังจะกินอีก
ผมคิดว่าควรมองให้เห็นตัวเอง เราทุกคนมีโอกาสพิการหมดเลย แล้วก็จินตนาการการอยู่ในสังคมนี้ด้วยความพิการ เราอยากมีสังคมแบบไหน
The MATTER : แล้วเราควรมองคนพิการยังไง
นลัทพร : ก็มองธรรมดา (ตอบทันที) มองเหมือนคนอื่น มีดี มีเลว มีทุกแบบนั่นแหละ ถ้าถามเรา คุณควรมองคนพิการให้หลากหลาย ไม่ได้มีแบบเดียว
คชรักษ์ : ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมเจอพี่หนู คงเข้าไปถามว่า “เข้าได้ไหมครับ วีลแชร์ติดตรงไหน เดี๋ยวเปิดประตูให้” ผมเป็นห่วงจริงๆ แล้วอยากช่วย แต่หลังจากมาอยู่กับประเด็นคนพิการ ผมอยากให้คนทั่วไปทำความเข้าใจข้อจำกัดของคนพิการก่อน เขาทำได้เท่านี้ อะไรทำไม่ได้ค่อยช่วย ไม่ต้องไปช่วยไปหมดทุกอย่าง
ชูเวช : ผมคิดว่าควรมองให้เห็นตัวเอง เราทุกคนมีโอกาสพิการหมดเลย แล้วก็จินตนาการการอยู่ในสังคมนี้ด้วยความพิการ เราอยากมีสังคมแบบไหน ถ้าเราจินตนาการว่า หากฉันพิการ จะรอให้คุณหญิงคุณนายเอาถุงยังชีพมาให้ ถ่ายรูปแชะที่บ้าน แล้วเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ถามจริงๆ เราโอเคกับสังคมแบบนั้นเหรอ ถ้าเห็นความเป็นตัวเองในคนพิการ เรารู้สึกยังไงกับสังคมเฮงซวยแบบนี้ ขอยืมคำอิมเมจมาใช้ (หัวเราะ) แฮชแท็ค #ทีมอิมเมจ
The MATTER : ถ้าว่ากันโดยความรู้ทางสถาปัตยกรรม การออกแบบเพื่อทุกคนไม่ใช่เรื่องใหม่แล้ว คนพิการในหลายประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีขนส่งสาธารณะที่ใช้การได้ ซึ่งถ้าพูดแบบไม่ซับซ้อน ประเทศไทยน่าจะหยิบสิ่งเหล่านั้นมาสวมทับหรือปรับใช้ได้ไม่ยาก มองว่าเพราะอะไรขนส่งสาธารณะบ้านเราถึงยังต้องมีคนพิการออกมาฟ้องศาลเรื่องลิฟท์บีทีเอส ทางเท้ายังไม่มีทางลาด ฯลฯ
ชูเวช : ผมมองเป็น 2 ส่วน คือ หนึ่ง จินตนาการการอยู่ร่วมกันในสังคม มันไม่มี เพราะไม่มีประสบการณ์ร่วม เพราะคนพิการถูกแช่อยู่ที่บ้าน แม้แต่ญาติคนพิการยังไม่กล้าพูดเลย เพราะคิดว่าคนพิการเป็นคนส่วนน้อย เขาเองก็เห็นแต่คนพิการในบ้านตัวเอง เลยมีจินตนาการในการอยู่ร่วมแบบใจบุญสุนทาน แบบประสบการณ์ในทีวี ชายน้อยในบ้านชายทองที่นั่งวีลแชร์เอ๋อๆ พอพูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเลยดูเบาๆ คนนึกไม่ออก สอง ตัวคนพิการเองก็ไม่มีอำนาจ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศที่ผลักดันเรื่องคนพิการได้เยอะๆ ส่วนใหญ่มาจากทหารผ่านศึกด้วยซ้ำ เขามีอำนาจ เขาถึงจะสามารถต่อรองได้
The MATTER : แต่ละคนมองว่า อะไรคือความเข้าใจผิดต่อคนพิการที่อาจไม่ค่อยมีคนนึกถึง
ชูเวช : ผมจะอินกับคนพิการการเคลื่อนไหวมากกว่ากลุ่มอื่น เวลาหลังคารั่ว มันมีคนพร้อมจะเอาน้ำไปรอง มีคนพร้อมจะซ่อมหลังคาทันที เดี๋ยวน้ำรั่ว ไฟช็อตจะอันตราย แต่พอเป็นเรื่องทางลาด คนที่มีอำนาจทางทรัพยากร เขาไม่รู้สึกว่าเรื่องของตัวเอง ผมรู้สึกว่าความไม่เข้าใจหลายอย่าง ขอบฟุตบาทนิดเดียว นะ ทำให้คนพิการที่ใช้วีลแชร์ต้องลงไปที่ถนน แต่ถนนก็มีตระแกรงมีขอบถนน คนพิการต้องหลบออกมาเข้าเลนหลัก รถก็บีบแตรอีก เพราะไม่เข้าใจว่า ออกมาทำไม รู้ว่าฟุตบาทใช้ไม่ได้ แต่ชิดซ้ายไปสิ ย้อนกลับไปที่ขอบ แค่นิดเดียวนั่นแหละ มันไปไม่ได้จริงๆ
นลัทพร : บางทีฝืนไปต่อหน้าทิ่มเลยนะ
The MATTER : เวลาเห็นปัญหาเหล่านี้ เราควรมองว่าใครเป็นฝ่ายผิด
ชูเวช : มันไม่ใช่ความผิดคนใดคนหนึ่งนะ บอกว่าคนพิการผิดยังได้เลย ก็คุณไม่เข้มแข็งพอ ต่อรองสิว่าต้องการอะไร อย่างหนูเรียนจุฬาฯ ต้องถอนรายวิชาออก เพราะห้องเรียนอยู่ชั้นบน คุณเป็นคนพิการในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศนะ มีอำนาจต่อรองมากกว่าคนพิการในชุมชนที่นอนติดเตียง แต่พอถึงเวลาถูกทำให้เข้าไม่ถึงบริการ คุณเลือกที่จะถอย ไม่อยากชน มันเหนื่อย มันเจ็บ มันช้ำ
แม้แต่ศูนย์บริการนักศึกษาพิการที่จุฬาฯ สมัยนั้นอยู่ชั้นสอง หนูต้องติดต่อธุระ ก็ขึ้นไม่ได้ ต้องให้เพื่อนขึ้นไปแทน ไม่มีลิฟท์ ต้องให้เพื่อนขึ้นไปจัดการให้ ที่เล่าคือสามสี่ปีก่อนนะ เพิ่งไม่กี่ปีเอง แต่ตอนนี้ฝ่ายนั้นย้ายมาอยู่ข้างล่างแล้วล่ะ
The MATTER : กลับมาที่ความเข้าใจผิดต่อคนพิการ มีอะไรอีกบ้าง
คชรักษ์ : ความน่าสงสารทำให้คนเข้าใจผิด ไม่ใช่ความน่าสงสารเป็นสิ่งผิดนะ แต่ความน่าสงสารไม่ไปต่อในปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องความพิการ ความจน พอสงสาร ก็ไปได้แค่ ช่วยเขาสิ ดูแลเขาสิ ให้เงินเขาสิ เราไม่ได้ไปถึงเบื้องหลังของปัญหา ที่เขาจนเพราะอะไร อาจเป็นสภาพทางสังคมบีบให้เขากลายเป็นคนจน หรือคนพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มันเพราะเขา หรือเพราะอะไร ความน่าสงสารทำให้เราลืมพิจารณาว่ามีเรื่องอื่นๆ ด้วย บางครั้งคนพิการก็ไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้น
ผมเคยฟังเรื่องผี มีคนท้องไปโรงพยาบาลไม่ทัน เพราะถนนไม่ดี สุดท้ายก็ตายกลางทาง ผีก็มาหลอกหลอนคนข้างทาง โกรธแค้นที่ตัวเองตาย เราก็ตั้งคำถามว่า ทำไมผีไม่ไปหลอก อบต. หรือคนที่มีอำนาจตัดสินใจวะ
นลัทพร : ความพิการคือ ‘ผิดปกติ’ ที่ต้องแก้ไขให้ ‘ปกติ’ มีคนบอกให้ไปทำบุญ สวดมนต์ ปล่อยปลาปล่อยนก ทำเพื่อให้กลับมาเดินได้ การกลับมาเดินได้มันดีนะ แต่ถ้ามองว่าการเดินได้คือ ‘ปกติ’ ที่เราเดินไม่ได้คือ ‘ผิดปกติ’ เหรอวะ? หรืออย่างคนหูหนวก การใช้ภาษามือของเขาคือความผิดปกติ เขาต้องกลับมาเรียนรู้ภาษาที่คนไม่ได้หูหนวกเรียนกัน เราเคยอ่านเจอ ในต่างประเทศมีกลุ่มคนที่มองว่า การใช้ภาษามือเป็นอีกวัฒนธรรม ไม่ใช่ความผิดปกติ
อย่างโรคเรา SMA มันอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่โรคบาปบุญ เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม มันตรวจเจอได้จากการตรวจ DNA แต่การตรวจมันมีค่าใช้จ่ายสูง ตรวจได้แค่บางที่ คนอยู่ต่างจังหวัดเลยอาจไม่ได้ตรวจ เลยออกมาว่าชาติที่แล้วทำอะไรไว้ พ่อแม่เลยคิดว่าเกิดจากบาปกรรม ทำให้ไม่เข้าถึงการดูแลรักษาที่ถูกวิธี เบนเข็มไปทำบุญ น้ำมนต์ ให้หมอสะเดาะเคราะห์ อาการก็แย่กว่าเดิม หลายโรคมันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์แล้ว แต่หลายคนยังเข้าไม่ถึง เพราะไปติดกับความเชื่อในทางบาปบุญซะเยอะ
มันน่าจะมีเรื่องที่ศาสนาอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลนะ แต่พอเป็นแบบนี้ เรากลายเป็นแอนตี้ศาสนาไปเลย เราโดนพูดด้วยท่าทีแบบนี้บ่อย เลยอยากเอาตัวออกห่าง ศาสนามันทำร้ายเรา มันอธิบายความพิการของเราไม่ได้ แถมยังมาตอกย้ำ เลยรู้สึกไม่ค่อยโอเคกับความคิดเหล่านี้เท่าไร มีอยู่ครั้งนึง ตอนนั้นเรานอนกายภาพบำบัด ยกแขนยกขาอยู่ ลุงคนนึงเดินมาที่เตียง “ลุงไปได้น้ำมาจากวัดนี้ เอาไปผสมน้ำกินนะ” เราตอบไปว่า “หนูรู้ว่าโรคเกิดจากพันธุกรรม การกินน้ำมนต์ไม่ได้ช่วยอะไร” เขาก็ยังยืนยันว่าต้องหายแน่นอน เขาเคยเห็นคนที่เดินไม่ได้กลับมาเดินได้