ข่าวการพิพากษาคดีเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2018 ได้สะกิดให้โลกต้องระลึกอีกครั้ง เมื่อทางศาลพิเศษคดีเขมรแดง หรือ The Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia (ECCC) ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติได้ทำการตัดสินวามผิดในฐานข้อหา ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ต่อนายเขียว สัมพัน (Khieu Samphan) อดีตผู้นำรัฐ และนายนวน เจีย (Nuon Chea) อดีตผู้ช่วยนายพอล พต (Pol Pot) หลังจากถูกจำคุกตลอดชีวิตอยู่แล้วฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และเรื่องนี้ถือว่าเป็นการตัดสินคดีครั้งสำคัญเพราะเป็นการตัดสินความผิดในฐานข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกตามนิยามของกฎหมายนานาชาติ
การตัดสินคดีความเรื่องนี้เป็นการยืนยันได้ว่า แม้ว่าการตัดสินอาจจะต้องใช้เวลาแต่ท้ายที่สุดก็ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และการกระทำอันเลวร้ายก็ได้รับการตัดสินโทษในที่สุด
เรื่องราวความเรืองอำนาจของกลุ่มเขมรแดง (Khmer Rouge) นั้นอาจจะเหมือนเรื่องที่ยาวนานมาหลายชั่วคน ทั้งที่ในความจริงแล้วเหตุการณ์ของการสังหารคนไปราวสองล้านคนนั้นเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1975-1979 และกลุ่มเขมรแดงก็เพิ่งสลายตัวไปโดยสมบูรณ์ในปี 1999 ส่วนผู้ประสบพบเจอเรื่องราวเหล่านั้นโดยตรงก็ยังมีชีวิตอยู่มาก ทั้งในแผ่นดินเกิดของตัวเองหรือในแผ่นดินที่พวกเขาอพยพหนีไป ซึ่งภาพจำของเหตุการณ์นั้นย่อมติดตรึงอยู่ในห้วงความทรงจำของพวกเขาไปจนจบชีวิต
แต่สำหรับหลายๆ คนที่อาจจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นภาพในอดีต เป็นเรื่องราวไม่ใกล้ตัว แต่อยากจะเข้าใจว่าในช่วงนั้นอะไรเกิดขึ้นบ้าง The MATTER จึงมาแนะนำภาพยนตร์จำนวนหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องและความทรงจำที่มีต่อเหตุการณ์ ณ ห้วงเวลาที่เขมรแดงเรืองอำนาจด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน
First They Killed My Father – ความทรงจำของลูกสาวที่ถูกพรากพ่อ
ภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงจากหนังสืออัตชีวประวัติของ หลง อึ้ง (Loung Ung) ที่ได้เห็นเรื่องราวในช่วงที่กองทัพเขมรแดงบุกเข้ามายึดครองเมืองหลวงพนมเปญด้วยตาของตนเอง ตัวหนังเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเด็กหญิงที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามากวาดต้อนคนที่แต่งตัวประหลาดๆ ขับไล่คนให้ออกไปอยู่ในชนบท ยึดรถ ยึดของใช้ส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็รับฟังคำพูดของทหารที่บอกกล่าวว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้กลับบ้าน แต่สุดท้ายด้วยกระแสอำนาจในประเทศก็ทำให้เธอต้องกลายเป็นแรงงานคนหนึ่งของเขรมแดง ครอบครัวถูกแยกไปอยู่คนละค่าย ศพคนตายเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติที่ได้พบ และสุดท้ายเมื่อ ‘ป๊า’ ของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แม่ของหลงจึงให้ลูกๆ ของเธอหลบหนี แม้ว่าชีวิตของเด็กหญิงจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่โชคชะตาก็ยังเล่นตลกให้เด็กหญิงกลายเป็นทหารเด็ก มีส่วนร่วมกับสงครามกัมพูชา-เวียดนาม แต่เรื่องนั้นก็กลายเป็นโชคเล็กๆ เพราะมันทำให้หลงสามารถหลบหนีไปจนถึงค่ายผู้ลี้ภัยของสภากาชาด สถานที่ที่เธอยังมีโอกาสได้พบกับพี่น้องสี่คนที่รอดตายจากมาตุภูมิอันโหดร้าย ก่อนที่หลง อึ้งจะเติบโตขึ้นและมีโอกาสมาเล่าเรื่องนี้ในอนาคต
หนังตั้งใจเล่าเรื่องให้เรารู้เท่าที่เด็กหญิงหลงรู้ (หรือ หลวง ในคำแปลของทาง Netflix) ภาพหลายอย่างที่เราเห็นจึงเป็นแค่เศษเสี้ยวของความวุ่นวายที่เด็กเองก็ไม่เข้าใจว่าคนคนนั้นทำไปเพื่ออะไร สิ่งที่เด็กหญิงรู้มีแค่ภาพของครอบครัวที่สมบูรณ์และมีความสุขกลับค่อยๆ แหลกสลายลงด้วยอำนาจที่เธอไม่เคยร้องขอแต่อย่างใด
อีกจุดหนึ่งที่น่าจดจำของภาพยนตร์เรื่องนี้คือได้ แอนเจลีนา โจลี (Angelina Jolie) เป็นผู้กำกับ จากตอนแรกที่คนเข้าใจว่าดาราสาวคนนี้อาจจะแค่พยายามเรียกเรตติ้งให้ตัวเอง แต่สิ่งที่ผู้กำกับคนนี้ทำคือการนำภาพความทรงจำของเด็กหญิงมาถ่ายถอดเป็นสื่ออย่างภาพยนตร์ และตั้งใจทำขึ้นออกมาในฐานะบันทึกหน้าหนึ่งที่จะทำให้คนดูระลึกว่า เราไม่ควรก่อสงครามเช่นนี้อีกไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม
The Killing Fields – ความทรงจำจากนักข่าวชาวตะวันตกและนักข่าวกัมพูชา
เรื่องราวของกลุ่มเขมรแดงไม่ได้กระทบกับแค่ชาวกัมพูชาโดยตรงเท่านั้น ชาวต่างชาติจากซีกโลกตะวันตกส่วนหนึ่งก็ได้รับอิทธิพลเช่นกัน และภาพยนตร์เรื่อง The Killing Fields เป็นภาพยนตร์ที่จับเอาช่วงชีวิตหนึ่งของ ซิดนีย์ ชานเบิร์ก (Sydney Schanberg) นักข่าวจาก The New York Times ที่ได้พบกับ ดิธ ปราน (Dith Pran) ล่ามของหนังสือพิมพ์ในท้องที่เวียดนาม นักข่าวสไตล์กัดไม่ปล่อยคนนี้ใช้เวลาจูนอัพกับล่ามท้องถิ่นไม่นาน ก่อนที่ทั้งสองคนจะบุกตะลุยไปจนถึงเมืองเนียะเลิง พื้นที่ซึ่งกองทัพสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดผิดพลาด และข่าวนี้ก็ทำให้ซิดนีย์สนิทชิดใจกับดิธ
แต่เมื่อสถานการณ์การรบของเขมรแดงเข้าขั้นวิกฤติ ทั้งซิดนีย์และดิธก็มีโอกาสที่จะอพยพไปอเมริกา แต่ทั้งสองคนปฏิเสธเพื่อที่จะทำข่าวในกัมพูชาต่อไป จนซิดนีย์กับเพื่อนนักข่าวชาวต่างชาติถูกทหารเขมรแดงที่เข้ายึดกรุงพนมเปญจับกุม โชคดีที่ดิธสามารถเจรจาจนช่วยให้นักข่าวต่างชาติปลอดภัย และทั้งล่ามกับทีมนักข่าวที่เหลือซึ่งอาศัยอยู่ในสถานฑูตฝรั่งเศสเป็นการชั่วคราวก็ทำข่าวที่ว่าเขมรแดงนั้นยังคงใช้ความรุนแรงกับประชาชนอยู่ แม้ว่าในหน้าฉากจะประกาศบอกชาวโลกว่าได้พยายามปกครองอย่างสงบสุข พวกเขาทำข่าวจนถึงนาทีที่เขมรแดงกดดันให้ชาวต่างชาติออกจากประเทศไปจนหมด และแม้ว่าซิดนีย์จะพยายามช่วยดิธหนีออกนอกประเทศ แต่พวกเขาก็ล้มเหลว ทำให้ดิธต้องอาศัยอยู่ในค่ายแรงงานของกัมพูชา
จากนั้นหนังก็ปรับเรื่องบอกเล่าชีวิตของดิธภายใต้การปกครองของเขมรแดง บอกเล่าเรื่องราวของคนในค่ายที่ทหารเด็กกลายเป็นผู้มีอำนาจ คอยทำลายล้างทุกสิ่งที่เป็นอิทธิพลจากต่างชาติ จุดนี้เองที่ดิธต้องทำตัวเหมือนชาวกัมพูชาหลายคนที่แสร้งทำเป็นไร้ความรู้เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด และดิธยังกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กในบ้านของพัต หัวหน้าของค่ายเขมรแดงอีกแห่งหนึ่ง โชคดีที่พัตไม่ได้มีใจภักดีเขมรแดงเช่นเดิมแล้ว พัตจึงวานให้ดิธพาลูกขายของพัทหนีไปต่างชาติ แม้ว่าดิธจะทำตามคำขอไม่สำเร็จ แต่เขาก็สามารถเดินทางข้ามเขตแดนไปจนถึงค่ายลี้ภัยของสภากาดชาด กลายเป็นข่าวดีให้กับซิดนีย์ที่ตอนนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากการรายงานข่าวสงครามภายในกัมพูชาและพยายามตามหาเพื่อนต่างชาติมาโดยตลอด ซึ่งสุดท้ายทั้งสองคนก็ได้พบกันอีกครั้ง และพยายามทำข่าวเกี่ยวกับ ‘ทุ่งสังหาร’ ในกัมพูชาต่อไป
ภาพยนตร์ที่ออกฉายมาตั้งแต่ปี 1984 เรื่องนี้พยายามเล่าเรื่องของนักข่าวที่นำเสนอข้อเท็จจริงในกัมพูชาจนถึงขีดสุด (ซิดนีย์ ชานเบิร์ก ถือว่าเป็นนักข่าวอเมริกาที่ทำข่าวภายในกัมพูชาถึงนาทีสุดท้ายก่อนจะต้องอพยพออกมา) หนังวิพากษ์ทั้งการกระทำบางอย่างของสหรัฐอเมริกาที่ดูจะไม่เวิร์กกับชาวกัมพูชา ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงมิตรภาพในการทำงานข่าวเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่รัฐบาลท้องถิ่นของเขมรแดงพยายามปิดบัง และแม้หนังช่วงครึ่งหลังที่เล่าถึงการติดอยู่ในค่ายแรงงานเขมรแดงอยู่สี่ปีของดิธจะถูกปรับให้ดราม่าขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่ดิธนำมาบอกโลกคือความจริงที่มีเพียงนักข่าวของแท้กล้าเสี่ยงตายเท่านั้นที่จะมาบอกเล่าได ด้วยความที่เขาเองก็มีโอกาสตายอยู่บนทุ่งสังหารเหมือนกับชาวกัมพูชาอีกหลายแสนคนที่จบชีวิตลง ณ ทุ่งแห่งนั้น
S21: The Khmer Rouge Killing Machine – ความทรงจำจากคนกัมพูชาโดยตรง
ฤทธี ปานห์ (Rithy Panh) เป็นชาวกัมพูชาที่โชคดีรอดตายการปกครองของเขมรแดงด้วยวัย 15 ปี ทำให้เขามีโอกาสได้อพยพไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่สุดท้ายจะกลายมาเป็นคนทำหนัง และก็เหมือนคนทำหนังทุกๆ คนที่อยากจะนำเสนอภาพยนตร์ที่มาจาก ‘แก่น’ ของตนเอง นั่นจึงทำให้ฤทธีเป็นผู้กำกับที่สร้างภาพยนตร์น่าจดจำหลายเรื่อง และหนึ่งในนั้นคือสารคดีเรื่องนี้
สารคดี S21: The Khmer Rouge Killing Machine ใช้ภาพข่าวมาเล่าช่วงรุ่งเรืองทางอำนาจของเขมรแดงมาเกริ่นนำด้วยเวลาไม่นาน ก่อนที่เรื่องจะตัดไปสัมภาษณ์คนกัมพูชาที่ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาด้วยตัวเอง หลายต่อหลายคนรวมไปถึง วาน นาธ (Vann Nath) กับ ชุน เมย์ (Chun Mey) สองในเจ็ดผู้มีชีวิตรอดจากการถูกขุมขังในคุกตวลสเลง (Tuol Sleng) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Security Prison 21 (S-21) จากนั้นทีมงานสร้างภาพยนตร์สารคดีได้พาผู้รอดชีวิตสองคนให้มาพบเจอกับอดีตคนทำงานภายในคุกแห่งนี้ ที่นอกจากจะมาพูดคุยเปิดใจกันเเกี่ยวกับเรื่องในอดีต พวกเขายังจำลองการทำงานในสถานกักกันนี้ ก่อนที่ทุกคนจะพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
สารคดีเรื่องนี้แทบจะไม่มีเสียงเพลงแทรกมาเลย ราวกับว่าผู้สร้างภาพยนต์เรื่องนี้ต้องการจะให้คำพูดคุยของเหยื่อจากภาวะคลั่งอำนาจเป็นท่วงทำนองที่บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาเอง และถึงแม้ปัจจุบันนี้เขมรแดงจะจากไปแล้ว แรงกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นยังสะเทือนใจชาวกัมพูชาที่ยังมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้ ไม่พวกเขาจะโยกย้ายไปอาศัยอยู่ในประเทศไหนบนโลกก็ตามที
Enemies of The People – ความทรงจำถึงผู้ตายกว่าสองล้านคน
เต็ต สัมบัธ (Thet Sambath) เป็นชายขาวกัมพูชาอีกคนหนึ่งที่ได้อยู่ในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ พ่อของเขาถูกฆ่าเพราะไม่มอบควายให้เขมรแดง แม่ของเขาถูกบังคับให้แต่งงานใหม่กับทหารเขมรแดงก่อนที่จะตายระหว่างคลอด พี่ชายของเขาหายสาบสูญ ตัวของเขายังพอมีดวงอยู่บ้างที่สามารถอพยพออกนอกกัมพูชาได้ในปี 1979 เมื่อเติบโตขึ้นเขาได้กลายเป็นนักข่าวที่คอยเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อรวบรวมข่าว จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้รับโอกาสที่คาดไม่ถึง โอกาสที่เขาจะได้ไปสัมภาษณ์ นวน เจีย (Nuon Chea) รองผู้นำของกลุ่มเขมรแดง หรือที่ถูกเรียกขานว่า ‘พี่ชายหมายเลขสอง’ …สิ่งที่เขาทำคือการไปสัมภาษณ์อดีตผู้นำคนนี้ ว่าเหตุผลกลใดพวกเขาถึงสั่งสังหารคนกว่าสองล้านคน การสัมภาษณ์ของเต็ตครั้งนี้จึงไม่ใช่เพื่อทำข่าว แต่เพื่อผู้ตายและประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชาจะได้รับรู้เหตุที่แท้จริงอันก่อให้เกิดความวุ่นวายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประเทศ
เต็ตทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่อง (หรือจะบอกว่าเป็นคนรับบทนำก็ไม่ผิด) และร่วมกำกับในภาพยนตร์กึ่งสารคดีกึ่งรายงานข่าวเรื่องนี้ ซึ่งใช้เวลาหลายปีกว่าที่นวน เจียจะยอมให้บอกเล่าเรื่องต่างๆ จากปากเขาเอง ในขณะเดียวกัน เต็ดก็ได้ไปพูดคุยกับอดีตสมาชิกเขมรแดงคนอื่นๆ ด้วย หลายคนบอกเล่าถึงอดีตที่พวกเขาเคยทำ อย่างการฆ่าคนตามคำสั่งผู้นำ ขั้นตอนการปลิดชีวิต สถานที่ฝังศพซึ่งยังอยู่ใกล้บ้านของอดีตสมาชิกเขมรแดงบางคน ฯลฯ แต่แทบจะทุกคนล้วนเล่าเรื่องนี้ด้วยความรู้สึก ‘ไม่สบายใจ’ เช่นเดียวกับนวน เจียเอง ที่อาจจะไม่ได้ยอมรับกับสื่อเจ้าอื่นๆ ก่อนหน้าการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารคนนับไม่ถ้วน แต่ในหนังเรื่องนี้เขาได้แสดงความรู้สึกผิดต่อผู้คนมากมาย และสุดท้ายเมื่อเต็ดเฉลยความจริงว่า สมาชิกครอบครัวของเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เสียชีวิตอันเป็นผลของการกระทำจากสมาชิกทัพเขมรแดงที่นวน เจียเคยมีส่วนร่ม… พี่ชายหมายเลข 2 ก็ขอโทษอย่างเรียบง่ายและชัดเจน
หากเทียบกับ S21: The Khmer Rouge Killing Machine สารคดีเรื่องนี้อาจจะมี ‘อารมณ์’ ที่มากกว่า แต่อารมณ์ดังกล่าวออกจะเป็นความ ‘โศกสลด’ ให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่ต้องตกอยู่ในอำนาจอันผิดเพี้ยน อย่างที่ตัวของเต็ดบอกกล่าวในหนังว่า เขาไม่ได้ต้องการล้างแค้นใคร แต่ทั้งหมดที่ถ่ายทำมานั้นก็เพื่อบอกเล่าให้กับคนรุ่นหลังอย่างจริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง
กัมพูชา – ความทรงจำของเขมรแดงผ่านภาพยนตร์ไทย
โซ ซำบัค เป็นเด็กชายที่ถูกพ่อผู้เป็นทหารเขมรแดงบีบให้ถือปืนและเข้ารับตั้งแต่ยังเล็กแม้ว่าผู้เป็นแม่จะคัดค้านก็ตาม ด้วยการรุกคืบของกองทัพเวียดนาม เด็กชายจึงพยายามหัดยิงปืนเพื่อป้องกันคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ ภาวะสงครามที่ดุเดือดมากขึ้นทำให้พ่อกับแม่ของโซเสียชีวิตลงในสนามรบ ทิ้งให้เด็กชายต้องดูแลน้องสาววัยแบเบาะเพียงคนเดียว เขาจึงทำตามคำสั่งของพ่อที่เคยบอกไว้คือ สถานที่ปลอดภัยของชาวกัมพูชาตอนนี้มีที่เดียวเท่านั้นคือข้ามเขตไปยังประเทศไทย ระหว่างทาง โซได้พบทั้งซากคนตายในทุ่งสังหาร กลุ่มทหารเด็กที่ยังพยายามต่อสู้เพื่อชิงมาตุภูมิคืน และสุดท้ายเขาก็ได้กลายเป็นทหารโดยหวังว่าน้องสาวจะปลอดภัย ทิ้งให้น้องสาวเดินทางไปสู่แผ่นดินไทยกับญาติอีกคนหนึ่ง
แม้ว่ามุมมองของในเรื่องนี้ของผู้กำกับ ทรนง ศรีเชื้อ จะให้ความชื่นชมกลุ่มทหารที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนที่พยายามชิงประเทศกัมพูชาคืนมาจากการรุกรานของชาติอื่น กระนั้นก็ยังสะท้อนมุมโหดร้ายของกลุ่มเขมรแดงที่ทรมานผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพวกเขาอย่างชัดแจ้ง ส่วนฉากจบที่สุดท้ายเด็กชายกลายเป็นทหารตามพ่อที่จากไป ก็เป็นการบอกอีกมุมหนึ่งที่ปฏิเสธได้ยากว่าอาจจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งในกัมพูชายุคนั้นที่ต้องการต่อสู้ในสงครามของพวกเขาเองต่อไป แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นอันตรายต่อตัวเองเหลือเกิน
The Missing Picture – ความทรงจำของ ‘สีสัน’ ที่เลือนหายไป
ภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของ ฤทธี ปานห์ ที่คราวนี้เป็นการเล่าเรื่องของตัวเขาเองโดยใช้ภาพจากข่าวกับตุ๊กตาดินเหนียวที่จำลองภาพผู้คนเท่าที่เขาจะจดจำได้ นับตั้งแต่การถูกขับไล่ออกจากเมืองพนมเปญโดยอ้างว่าอเมริกากำลังจะมาทิ้งระเบิด การรวมผู้คนให้ใส่เสื้อผ้าสีดำเพียงสีเดียวแบบเดียวกันเพื่อแสดงความเท่าเทียมไม่มีชนชั้นอื่นใด ผู้ใหญ่กับเด็กถูกจับแยกกันอยู่ต่อให้เป็นครอบครัวเดียวกันก็ตามที แต่ในขณะเดียวกันก็บอกเล่าถึงกลุ่มสมาชิกของเขมรแดง หรือ อังการ์ ที่บอกว่าจะให้ความเท่าเทียมกันปฏิเสธที่จะใช้วัตถุของโลกตะวันตก แม้แต่ยารักษาโรคก็ตามที และสร้างสื่อที่นำเสนอข้อมูลในกรอบที่จะไม่ทำให้คนดูคิดเป็นและมีความคิดเป็นของตัวเอง ซ้ำไปกว่านั้น อังการ์กลับแปรสภาพตัวเองเป็นชนชั้นปกครอง อยู่กินอย่างอิ่มหนำ แสดงภาพว่าไม่เคยทำสิ่งใดผิด และพยายามสร้างเด็กรุ่นใหม่ในยุคนั้นให้กลายเป็นข้าทาสของพลังอำนาจต่อไป
ด้วยความที่เป็นการบอกเล่าเรื่องส่วนตัว ฤทธีจึงได้บอกเล่าว่าตัวเขาที่เป็นเด็กในยุคเขมรแดงรุ่งเรืองนั้นใช้ชีวิตอย่างไร ชื่นชมงานศิลปะแบบไหน อิ่มเอมกับความรู้เช่นไร ไปจนถึงว่ายังเก็บหัวใจที่เป็นมนุษย์ผู้รื่นรมย์ได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะต้องพบเจอกับความสูญเสียมากมาย อย่างเช่นเรื่องบ้านในวัยเด็กของเขาเองที่ในภายหลังได้กลายเป็นวัตถุอื่นที่ตัวเองไม่สามารถกลับไปผูกพันกับมันได้อีกแล้ว หรือช่วงชีวิตที่เขาต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เพราะที่อยู่อาศัยที่เขมรแดงให้มานั้นไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยได้เลย เป็นอาทิ
แม้ว่าเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ถูกเล่ามาจะเป็นเรื่องที่เราตามหารายละเอียดได้ไม่ยากในยุคที่กดอินเทอร์เน็ตสักสองสามทีก็เจออย่างในปัจจุบัน แต่การได้ฟังคำของคนที่ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาด้วยตัวเอง ก็ทำให้คนดูได้เห็นเพิ่มเติมว่า นอกจากชีวิตจำนวนมากที่หายไปในช่วงเวลาสั้นๆ อีกสิ่งที่คนกัมพูชาไม่สามารถเก็บมันเอาไว้ในยุคหนึ่งก็คือ ‘สีสัน’ อันมากมาย ทั้งสีสันของชีวิต สีสันของความเป็นครอบครัว สีสันที่พวกเขาเองควรจะได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นภาพที่หายไปในห้วงเวลาตลอดกาลแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก