บทความโดย ‘ธัชชัย ธัญญาวัลย’
‘You Will Not Have My Hate’ เล่าถึงเรื่องราวของ Antoine ชายซึ่งภรรยาเสียชีวิตจากเหตุก่อการร้าย ที่ Bataclan, Paris เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2015 บนปีกปกของหนังสือมีคำโปรยว่า “You Will Not Have My Hate is an extraordinarily and heartbreaking memoir about how Antoine, and his baby son Melvil, endured after Helene’s murder.”
ในวันที่เขาสูญเสียภรรยา ลูกชาย-Melvil เพิ่งมีอายุเพียง 17 เดือนเท่านั้น
หะแรกที่ข้าพเจ้าเห็นหนังสือเล่มนี้ก็ไม่นึกว่าจะซื้อ เพราะดูผาดๆ คิดว่าคงเป็นหนังสือ How to ทั่วๆ ไป แต่เมื่อพลิกดูปกหลังจึงตัดสินใจแจ้งพนักงานร้านขายหนังสือว่าขอดูเนื้อหาด้านใน
เรื่องราวเหมือนไม่มีอะไรมาก เป็นไดอารี่บันทึกความรู้สึกตั้งแต่วันที่เกิดเหตุจนถึงหนึ่งวันหลังฝังศพภรรยา เช่นว่า เขารู้สึกอย่างไรเมื่อภรรยาเสียชีวิตลง เขาโศกเศร้าอย่างไร บรรดาแม่ๆ ของเพื่อนวัยเดียวกับลูกเขาทำอะไรให้บ้าง เขาต้องเรียนรู้และดูแลลูกอย่างยากลำบากขนาดไหน
ถ้าไม่ใช่เหตุจากการก่อการร้าย เรื่องราวเหล่านี้ก็จะเป็นเพียงเรื่องราวของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งสูญเสียภรรยาไปอย่างกะทันหันไม่ทันคาดหมายเท่านั้นเอง
แต่เมื่อเหตุแห่งการเสียชีวิตมีการก่อการร้ายเข้ามาเกี่ยวข้อง และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่, ผู้สูญเสียอย่างแท้จริง อยู่ในช่วงเวลาที่กำลังเป็นช่วงเริ่มต้นแห่งความสุขของชีวิต เรื่องราวของเขาจึงเป็นที่น่าสนใจขึ้นมาในวงกว้าง
มิหนำเขายังได้ประกาศไปเสียอีกว่า
“You Will Not Have My Hate”
ซึ่งหากเราพิจารณาแบบผิวเผินก็คงรู้สึกว่า โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยการให้อภัยซึ่งกันและกันเหลือคณา
ในส่วนเนื้อหานั้น เราคงไม่อาจปฏิเสธว่ามันเศร้าเหลือเกิน กินใจเหลือเกิน ความรักที่เขามีต่อภรรยานั้นช่างยิ่งใหญ่ และลูกของเขาก็น่าสงสาร อีกแง่มุมหนึ่งในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยภาวะเช่นนี้ แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนย่อมเคยประสบ ทุกคนเคยพบการพลัดพรากและการสูญเสีย แม้ว่าการสูญเสียนั้นจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม แต่สภาวะของความเศร้าที่เกิดขึ้นนั้น เราไม่อาจบอกได้เลยว่ามันต่างกัน
“Everything is in its right place. From the laundry basket, I take the last things of hers that still bear her scent. I press them against my face every night, so that I can fall asleep with that smell of eternity.” – หน้า 101
ลองนึกถึงสภาพตอนที่เราพลัดพรากจากคนรัก ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะจากไปเพราะเสียชีวิต หรือเพราะเลิกรากัน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆ เราคงเข้าใจสภาวะเช่นนี้ได้ไม่ยาก และหากเราไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรือได้บรรลุธรรมขั้นสูง เราก็คงรู้สึกหม่นหมองไปกับเขาด้วยเป็นแน่แท้
สภาวะแห่งการสูญเสียแบบกะทันหันปัจจุบันทันด่วนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแน่นอนว่าเมื่อการสูญเสียเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ‘สภาวะซึมเศร้า’
สภาวะซึมเศร้านั้นไม่ใช่โรคซึมเศร้า เพราะหากเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างสามารถแก้ไขคลี่คลายได้หรือมีสิ่งอื่นมาทดแทน สภาวะนั้นย่อมจางหายไปในที่สุด นั่นเป็นเหตุว่า ทำไมเมื่อเราอกหัก เราจึงควรรีบหาแฟนใหม่ให้เร็ว มันเป็นสภาวะตามธรรมชาติเพื่อเติมเต็มช่องว่างอันขาดหายไปเพื่อจะเยียวยาสภาพร่างกายและจิตใจของผู้เป็นเจ้าของนั่นเอง
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นขณะผู้เขียนตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า แน่นอนว่า เขาต้องอยู่กับสภาวะนี้ไปอีกนาน และหากไม่สามารถแก้ไขตัวเองได้โรคซึมเศร้าย่อมเป็นสมบัติของเขาโดยแน่แท้
อย่างไรก็ตาม การพูดเลยไปถึงโรคซึมเศร้าดูเหมือนจะเป็นอะไรที่นอกตัวบทไปเสียสักหน่อย แต่ในเมื่อมันมีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นผลพวงซึ่งกันและกัน เราก็คงหลีกเว้นที่จะไม่กล่าวถึงเสียไม่ได้
You Will Not Have My Hate เป็นปัญญาญาณแห่งการให้อภัยหรือไม่ เป็นสภาวะที่จะก่อให้เกิดสันติสุขในโลกขึ้นจริงหรือไม่ หากเราพิจารณาคำว่า “You Will Not Have My Hate” และพิจารณาถึงบท ‘You Will Not Have My Hate’ ในหนังสือ
เราย่อมพบได้เองว่านี่เป็นสภาวะแห่งการให้อภัยโดยบริสุทธิ์หมดจดหรือไม่
ในเมืองไทย ภายใต้หลักการที่เราเรียกตัวเองว่าเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา หากเรื่องราวอย่างนี้เกิดขึ้น เราจะปฏิบัติอย่างไร? แม้เราจะอ้างว่าเราเป็นเมืองพุทธก็ตาม แต่สภาวะแห่งพุทธะที่แท้จริงบางครั้งก็ไม่ได้สถิตเสถียรอยู่กับเราได้ ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็คงไม่มีความแตกต่างจากมนุษยชาติอื่นๆ ที่นับถือศาสนาอื่นๆ
เมื่อผ่านพ้นจากการประณาม ก่นด่า สาปแช่ง หรืออื่นๆ แล้ว หากเราไม่สามารถทำอะไรผู้ก่อการร้ายได้ สิ่งที่เรามักจะพูดก็คือ “เดี๋ยวเวรกรรมก็ตามทันมัน” “ขอให้เวรกรรมที่มันทำเอาไว้สนองมันให้เร็วไวเถอะ” วาทกรรมประเภทนี้มักจะออกมาเสมอจากปากของชาวพุทธหรือชาวอะไรก็ตามที่มีความเชื่อเรื่องกรรม ไม่ว่าเขาจะมีความเชื่อเรื่องกรรมที่ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือเชื่อกรรมตามหลักของอะไรก็ตาม
ไม่ว่า You Will Not Have My Hate จะเป็นคำพูดที่เกิดจากปัญญาญาณแห่งการให้อภัยหรือไม่ แต่เราก็รู้สึกได้ว่ามันคล้ายเป็นการปลอบประโลมหัวใจของตัวเองในสภาวะจำยอมหรือในสภาวะที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เมื่อมันออกมาจากปากของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ก่อการร้าย และยังเป็นเหตุการณ์ในระดับโลก มันจึงดูเหมือนยิ่งใหญ่ และเหมือนจะเป็นแนวทางให้เราพิจารณาว่าเราควรจัดการกับผู้ก่อการร้ายอย่างสันติได้อย่างไร
“So, no, I will not give you the satisfaction of hating you. That is what you want, but to respond to your hate with anger would be to yield to the same ignorance that made you what you are. You want me to be scared, to see my fellow citizens through suspicious eyes, to sacrifice my freedom for security. You have failed. I will not change” – หน้า 53
สมมติว่าเราสามารถจัดการกับผู้ก่อการร้ายได้ด้วยตัวเอง สามารถตามไปฆ่าพวกเขาเหล่านั้นได้ สิ่งที่ตามมาจะเป็นเช่นไร เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าคำพูดหรือสภาวะยอมจำนนและหลีกเร้นตัวเองออกจากความไม่พอใจอย่างล้ำลึกด้วยคำพูดเช่นนี้จะมีอยู่หรือไม่
“There are only two of us – my son and myself – but we are stronger than all the armies of the world. Anyway, I don’t have any more time to waste on you, as I must go to see Melvil, who is just waking up from his nap. He is only seventeen months old. He will eat his snack as he does every day, then we will play as we do every day, and all his life this little boy will defy you being happy and free.” – หน้า 54
เราสามารถจับน้ำเสียงแห่งความโศกเศร้าในสภาวะซึมเศร้าอย่างลึกซึ้ง และน้ำเสียงของความเหลืออดเหลือทนแต่จำต้องยอมทนได้อย่างชัดเจน ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าการมีความสุขตามอัตภาพเช่นที่เคยเป็นมา เขาก็จะพยายามมีความสุขเพื่อเย้ยเยาะบุคคลที่ทำร้ายเขา จุดนี้เองที่ทำให้เราพิจารณาได้ว่า นี่อาจไม่ใช่สภาวะแห่งการให้อภัยอย่างบริสุทธิ์ เพราะมันก็เหมือนกับการพูดของคนไทยที่ว่า “ฉันไม่อะไรกับพวกแกแล้ว ปล่อยให้เวรกรรมมันทำหน้าที่ของมันเถอะ” ในแง่ของความหมายในความรู้สึกส่วนลึก แม้จะพูดว่า “ฉันไม่อะไรกับพวกแกแล้ว” แต่ก็ยังไม่เว้นวางว่าจะต้องให้กรรมตามสนองเขาอยู่ ซึ่งมันก็คือคำพูดนัยเดียวกันกับที่ว่า “and all his life this little boy will defy you being happy and free” นั่นเอง
เมื่อกล่าวเช่นนี้ เราก็ย่อมที่จะหาทางบ่ายเบี่ยงได้ว่า แล้วอย่างไรล่ะ? คนเราควรให้อภัยอย่างหมดจดถึงขนาดไหน หากเป็นว่าผู้ก่อการร้ายมาฆ่าพ่อแม่ของคุณ ฆ่าลูกเมียของคุณ คุณจะสามารถให้อภัยอย่างหมดจดอย่างที่พูดเอาไว้ได้หรือเปล่า ซึ่งถ้าหากเรากล่าวว่า “แน่นอน หากคุณเป็นชาวพุทธที่แท้จริง การให้อภัยอย่างหมดจดย่อมเกิดขึ้นได้” แต่ก็นั่นแหละ คำพูดชนิดที่ว่า “ก็มันยังไม่เกิดกับคุณ ฉันจะรอวันที่มันเกิดกับคุณแล้วคุณจะยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้ได้อีกหรือเปล่า” ก็ย่อมเป็นสิ่งผู้พูดจะได้รับอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และคำถามก็คือการให้อภัยอย่างหมดจดนั้นเป็นอย่างไร เคยเกิดขึ้นหรือไม่ และสามารถแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้จริงหรือ
ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกันแม้ความเห็นอกเห็นใจมีอยู่ แต่วิธีและวิถีทางในการแก้ปัญหาก็ย่อมต้องเป็นไปอย่างถูกต้องหากเราต้องการแก้ปัญหาให้เด็ดขาดและจบสิ้น หาไม่แล้วเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เราก็จะมีผู้สูญเสียที่รอคอยถูกวันเวลาหลงลืมและเลือนหายไปพร้อมกับคำพูดเท่ๆ ของเขาในที่สุด ขณะที่ปัญหาเดิมก็จะยังคงอยู่รอคอยผู้สูญเสียรายใหม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้เราไม่อาจพิจารณาได้ว่า ‘อะไรกันแน่’ หรือ ‘แค่ไหนกันแน่’ หรือ ‘อย่างไรกันแน่’ คือการให้อภัยอย่างถึงที่สุด และเราทุกคนควรปฏิบัติเช่นนั้นหรือเปล่า หรือควรเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล การกล่าวออกมาว่า You Will Not Have My Hate ก็เป็นสิ่งที่กล้าหาญไม่น้อย ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกส่วนลึกชนิดไหนก็ตาม เพราะอย่างแรกสุดสิ่งที่โลกของเราต้องการก็คือจุดเริ่มต้น เป็นจุดเริ่มต้นในคุณค่าแห่งความหมายของการให้อภัยที่จะนำไปสู่จุดสุดท้ายของสันติภาพอย่างแท้จริงต่อไปนั่นเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก
You Will Not Have My Hate by Antoine Leiris