ก่อนโลกนี้จะมีลิฟต์ ก็คงมีบันไดล่ะมั้ง จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด เมื่อลิฟต์ในอาคารถูกคิดค้นขึ้นมา ห้องชั้นบนที่เคยเป็นเรื่องยากของบันได ก็กลายเป็นเรื่องง่ายแสนสบายของลิฟต์ จนมันกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่พลิกโฉมเมืองยุคใหม่ และมีส่วนให้ตึกระฟ้ายิ่งพุ่งทะยานขึ้นไปไม่สิ้นสุด
มองย้อนกลับไปในวันที่เรายังไม่มีลิฟต์ในอาคาร มีเพียงบันไดที่ก้าวด้วยสองขาพาเราไปสู่ชั้นบน ผู้คนต่างชื่นชอบความสะดวกสบายของชั้นล่าง ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยหลายต่อเพื่อไปถึงจุดหมาย ห้องพัก ห้องทำงาน หรือพื้นที่ใดๆ ก็ตามในชั้นล่างจึงเป็นที่ต้องการมากกว่า นึกถึงในวันที่ต้องขนของเข้าห้อง สองมือพะรุงพะรัง ประคองตัวเองขึ้นไปตามขั้นบันได วันไหนตื่นสาย แสนรีบเร่ง ก็ไม่อาจเร่งจนเกิดอุบัติเหตุได้ ห้องชั้นบนกับบันได จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่นัก
แต่เมื่อมีลิฟต์ในอาคาร เพียงแค่พาตัวเองเข้าไปในกล่องเหล็กแน่นหนา ปล่อยให้มันพาเราเลื่อนแนวดิ่งสูงขึ้นไป รอให้ถึงชั้นปลายทางก้าวเท้าออกมา มันง่ายอย่างนั้นเลย เมื่อชั้นบนไม่ใช่จุดหมายที่ต้องแลกมาด้วยเสียงหอบแฮ่กๆ ตรงนี้เองที่เกมจะเปลี่ยนเล็กน้อย ชั้นสูง วิวสวย มองฟ้าไกล กลายมาเป็นพื้นที่ที่ใครก็ต้องการ ผิดกับชั้นล่างที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมาตลอดเวลา ราวกับโดนขโมยความเป็นส่วนตัวไป ความนิยมเริ่มลดน้อยถอยลงไป
ขนส่งของมาก่อนขนส่งคน
ฟังดูเหมือนลิฟต์จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ยุคใหม่ เกิดมาพร้อมอาคารตั้งตระหง่านในเมืองใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันถูกสร้างมาตั้งแต่โลกยุคโบราณ เชื่อว่าลิฟต์ตัวแรกเท่าที่พอจะย้อนกลับไปได้ คิดค้นโดย อาร์คิมิดีส (Archimedes) เมื่อราวๆ 200 ปีก่อนคริสตกาล ใช้เชือกพันรอบกลอง หมุนด้วยแรงคนที่ใช้กว้านมือหมุน
ในโคลอสเซียมเองก็ใช้ลิฟต์ในการขนส่งเช่นกัน ขับเคลื่อนด้วยคนนับร้อยโดยใช้รอกและน้ำหนักถ่วง จากห้องใต้ดิน คอกสัตว์ และอุโมงค์ต่างๆ ขึ้นสู่ลานประลอง
อ้าว ก็มีลิฟต์กันนานแล้วนี่ แล้วทำไมถึงเพิ่งมาใช้แพร่หลายในโลกยุคใหม่กันล่ะ? นั่นเพราะลิฟต์ในยุคโบราณเป็นเหมือนลิฟต์ระบบรอก ใช้ขนส่งสำหรับสิ่งของมากกว่าลิฟต์โดยสารอย่างที่เราใช้ทุกวันนี้ ลองนึกภาพบ่อน้ำที่เราต้องหมุนรอกให้ถังลงไปยังก้นบ่อ ลิฟต์ยุคโบราณก็ทำงานคล้ายแบบนั้น เลยยังไม่นับว่ามันเข้าใกล้ลิฟต์ในทุกวันนี้สักเท่าไหร่
หากจะใกล้เคียงลิฟต์โดยสารมากที่สุด คงต้องขยับไปในปี 1743 รัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงสร้าง ‘เก้าอี้ลอยฟ้า’ เพื่อให้พระสนมคนหนึ่งของพระองค์ สามารถเข้าวาร์ปไปยังห้องชั้นสามของพระราชวังแวร์ซายได้ แม้จะโดยสารได้ ด้วยการทำงานที่คล้ายกับลิฟต์ แต่มันก็ยังไม่ใช่ลิฟต์ในทุกวันนี้อยู่ดี
แล้วลิฟต์ที่เป็นกล่อง เลื่อนขึ้นลง สำหรับผู้คนโดยสารไปยังชั้นต่างๆ ในอาคาร มันเริ่มขึ้นตอนไหนกัน?
เริ่มส่งคนได้ ต้องปลอดภัยเสียก่อน
มาฟังคำตอบเรื่องนี้จาก ลี เกรย์ (Lee Gray) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ CNN เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ลิฟต์โดยสารไว้ว่า
“อุปกรณ์ยกแบบกลไกมีมาตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1800 แต่การเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งสินค้ามาเป็นการขนส่งผู้คน เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1850”
และกล่าวเพิ่มเติมว่า พอเปลี่ยนจากลิฟต์ขนส่งเป็นลิฟต์โดยสาร จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เนื่องจากลิฟต์ขนส่งสินค้าในยุคแรกไม่มีตู้บรรทุก เป็นเพียงแพลตฟอร์มแบบเปิด จึงอันตรายเกินไปสำหรับการใช้โดยสาร
ในช่วงเวลานั้นลิฟต์ใช้พลังงานไอน้ำในการเคลื่อนย้ายไปยังชั้นต่างๆ พอได้ยินข่าวว่ามีลิฟต์ที่คนเข้าไปโดยสารได้ ผู้คนต่างก็หวาดหวั่น ไม่มั่นใจในความปลอดภัยสักเท่าไหร่นัก ใครจะอยากเอาตัวเองเข้าไปในกล่องเหล็กที่คาดเดาอะไรไม่ได้กันล่ะ
ในปี 1854 เอลิชา โอทิส (Elisha Otis) ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรม มองเห็นโอกาสจะเป็นหัวแถวก่อนเขาก่อนใคร เลยออกแบบลิฟต์สำหรับโดยสารที่เสริมระบบนิรภัยเข้าไป พร้อมกับนำมาสาธิตต่อสาธารณะชนว่าลิฟต์ของเขาปลอดภัยแค่ไหน
เขามองทะลุถึงความกังวลของสายตาคนนอก จึงสาธิตด้วยการตัดสายเคเบิลของลิฟต์ให้เห็นกันต่อหน้าต่อตา หากสายเคเบิลขาด กลไกลจะดีดออกและเกี่ยวเข้ากับชั้นวางที่วางอยู่ข้างๆ ทำให้ลิฟต์ไม่มีวันร่วงหล่น แม้สายเคเบิลจะขาดไปแล้วก็ตาม
นั่นทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจและมีความไว้วางใจต่อลิฟต์ของเอลิชา จนนับว่านี่คือจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ลิฟต์
แต่ลิฟต์ของเอลิชากว่าจะได้รับการจดสิทธิบัตร ก็ล่วงเลยไปถึงปี 1861 ซึ่งก่อนหน้านั้นในปี 1859 โอทิส ทัฟส์ (Otis Tufts) วิศวกรคนหนึ่ง ได้ชิงจดสิทธิบัตร ‘vertical railway’ พร้อมกับเปิดตัวลิฟต์ที่แสนสะดวกสบาย มีที่นั่งด้านใน ตกแต่งสวยงามตัดหน้าไปก่อนแล้ว ลิฟต์ของทั้งสองจึงมีจุดแข็งที่ต่างกัน ของเอลิชาขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ของโอทิสเน้นความสะดวกสบายและสวยงาม
แม้จะมีลิฟต์โดยสารสองเจ้าใหญ่ในตลาด แต่ลิฟต์ก็ยังมีราคาแพงเสียจนนับว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เราเลยได้เห็นลิฟต์ในโรงแรมใหญ่ๆ ในมหานครนิวยอร์ก ลอนดอน และปารีส มันสวยงาม ล้ำสมัยสำหรับในตอนนั้น แต่มันช่างเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า เพราะขับเคลื่อนด้วยระบบไอน้ำ มันจึงไม่ได้มอบความสะดวกสบายได้เท่าทุกวันนี้ แต่นับว่าไม่บกพร่องในเรื่องมอบประสบการณ์ใหม่ ที่คนเราไม่ต้องเดินขึ้นบันไดจนเหนื่อยหอบอีกต่อไปแล้ว
ลิฟต์ไม่ได้หยุดพัฒนาอยู่แค่นั้น เมื่อตึกใหญ่ๆ ให้ความสนใจลิฟต์มากขึ้น มันถูกพัฒนาไปใช้ระบบไฮดรอลิกเพื่อความรวดเร็วยิ่งขึ้น อาคาร Equitable Life สูง 8 ชั้น ในตัวเมืองแมนฮัตตัน สร้างเสร็จในปี 1870 เป็นอาคารสำนักงานแห่งแรกที่มีลิฟต์ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ลิฟต์สร้างโดยบริษัท Otis Elevator หลังจากนั้นเป็นต้นมาช่องลิฟต์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะสำหรับตึกสูงระฟ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะขาดช่องลิฟต์นี้ไป
ยิ่งลิฟต์ขึ้นไปได้สูงอย่างไร้ข้อจำกัดเท่าไหร่ ยิ่งผลักดันให้พื้นที่ชั้นสูงเป็นที่ต้องการมากเท่านั้น เอเมอรี่ ร็อธ (Emery Roth) สถาปนิกชื่อดัง ผู้ออกแบบตึกสูงในนิวยอร์ก ได้เริ่มเปลี่ยนพื้นที่ใต้หลังคาที่ไม่มีใครต้องการ ให้กลายเป็นอพาร์ตเมนต์ทันสมัย พร้อมระเบียงกว้าง เห็นวิวเส้นขอบฟ้าได้ชัดกว่าชั้นไหนๆ และพื้นที่นั้นต่อมาเรียกว่า ‘เพนต์เฮาส์ (Penthouses)’ เป็นดั่งเพชรยอดมงกุฏของอาคารสูงระฟ้า
ปัจจุบันลิฟต์ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 3 ประเภท ได้แก่ ลิฟต์ไฮดรอลิก ลิฟต์แบบมีรางเลื่อน และลิฟต์แบบไม่มีห้องเครื่อง ลิฟต์แบบไฮดรอลิกและแบบไม่มีห้องเครื่องมีไว้สำหรับอาคารที่มีความสูงไม่มาก ส่วนลิฟต์แบบมีรางเลื่อนใช้สำหรับอาคารสูง เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าและเร็วกว่า
ลิฟต์ที่เราใช้ในทุกวันนี้ นับว่าผ่านการพัฒนาจนมีความปลอดภัยมากกว่าบันไดธรรมดาหรือบันไดเลื่อนเสียอีก โดยอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดระหว่างการติดตั้ง ซ่อมแซม และอุบัติเหตุจากปัจจัยภายนอก ส่วนอุบัติเหตุที่เราแอบกลัวอยู่ในใจอย่าง สายเคเบิลขาดแล้วมั่นจะร่วงตุ้บไหมนะ ลิฟต์ค้างแล้วเปิดไปยังชั้นปิดตายหรือเปล่า เชื่อไหมว่าเหตุการณ์เหล่านั้นแทบไม่เกิดขึ้นเลยต่างหาก ยิ่งในทุกวันนี้ ยิ่งนับว่าเป็นไปได้ยาก
เรามีทั้งไฟส่องสว่าง ระบบระบายอากาศ แม้แต่ป้ายโฆษณา ในลิฟต์ที่เราใช้เวลาโดยสารเพียงไม่ถึงนาที ยังสะดวกสบายขนาดนี้ จนเราอาจเผลอฮัมเพลงในใจว่า
“ผมชอบขึ้นรถ ผมชอบขึ้นเรือ ผมชอบขึ้นเหนือ ผมชอบขึ้นลิฟต์”
อ้างอิงจาก