ปัญหาหนึ่งของระบบการศึกษาไทยที่สำคัญแต่สังคมไม่ค่อยพูดถึงกันนั่นก็คือ ประเทศไทยไม่ค่อยมีการสอนทักษะการเป็นผู้ประกอบการให้นักเรียนนักศึกษามากนัก
อาจเพราะสังคมไทยไม่ต้องการผู้ประกอบการ พวกเขาสนใจแต่แรงงานที่มีทักษะและคอยทำตามคำสั่งอย่างเดียว เห็นได้จากที่ประเทศเราไม่ค่อยมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในสังคม
ทั้งๆ ที่รายงาน Doing Business 2018: Reforming to Create Jobs ของธนาคารโลกบอกว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่เริ่มต้นธุรกิจง่ายเป็นอันดับ 36 ของโลก ใช้เวลาเฉลี่ย 4.5 วันหากเริ่มธุรกิจอะไรสักอย่าง การมี ‘โอกาส’ แต่ขาด ‘องค์ความรู้’ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ทำให้องค์ความรู้เหล่านี้เราต้องมาเรียนรู้เองภายหลัง ตามหลักสูตรคอร์สเรียนพิเศษซึ่งต้องแลกกับค่าใช้จ่ายมหาศาล
แต่การเรียนรู้ในยุค Globalization ไม่ได้มีข้อจำกัดให้ยุ่งยากเหมือนแต่ก่อน ปัจจุบันเราสามารถหาความรู้ได้จากอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงสถาบันต่างๆ ที่เปิดสอนคอร์สเรียนฟรีเพื่อสนับสนุนธุรกิจ ช่องทางดังกล่าวจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อเสริมสร้างทักษะผู้ประกอบการ ที่การศึกษาหลักของเราไม่ค่อยสอนเท่าไหร่เลย
นี่จึงเป็นอีกปัญหาของระบบการศึกษาไทย ที่ควรได้รับการพูดถึงอย่างจริงจังเสียที
เมื่อการศึกษาสร้าง ‘ลูกจ้าง’ มากกว่า ‘ผู้ประกอบการ’
ต้องยอมรับกันก่อนว่าคนเราเกิดมาด้วยต้นทุนชีวิตที่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะฐานะทางครอบครัวที่ถือเป็นตัวกำหนดอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต เช่น เด็กที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง-ล่าง อาจไม่มีประสบการณ์ด้านผู้ประกอบการเท่าลูกหลานนักธุรกิจ ฉะนั้นระบบการศึกษาจำเป็นต้องเป็นกลไกที่ช่วยลดช่องว่างดังกล่าวให้ได้
หากแต่การศึกษาไทยมิได้ทำหน้าที่ตรงนั้นได้อย่างเต็มที่ เห็นได้จากสถิติมากมายที่บ่งบอกว่าเด็กจบปริญญาตรีมีอัตราว่างงานสูงที่สุด เอาง่ายๆ แค่ช่วงข้ามปีธันวาคม 2560 – มกราคม 2561 ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติได้รายงานว่ามีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 110,700 คน แล้วเราเรียนกันไปเพื่ออะไร?
ว่ากันตามตรง ระบบการศึกษาที่ผ่านมามุ่งสอนแต่องค์ความรู้ทางวิชาการ หล่อหลอมให้เราเชี่ยวชาญอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมไปถึงค่านิยมที่ให้เราภาคภูมิใจกับใบปริญญา แล้วนำใบปริญญานั้นๆ มาสมัครเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่ๆ เราจึงเห็นคนมีความรู้ระดับปริญญาโท-เอกมาเป็นลูกจ้างมากกว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ
ขณะผู้ประกอบการอาจมิได้เรียนในระดับสูงนัก แต่เกิดจากประสบการณ์ลองผิดลองถูกทางธุรกิจ จนเกิดความเชี่ยวชาญทาง แล้วจ้างคนมีความรู้เฉพาะทางสูงๆ มาทำงานให้เขาอีกทีหนึ่ง
ความไม่พร้อมของระบบการศึกษาไทยจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ช่องว่างดังกล่าวยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
ทักษะผู้ประกอบการคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ตามแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ โจเซฟ ชุมปีเตอร์ เคยกล่าวว่า ทักษะการเป็นผู้ประกอบมีความเกี่ยวข้องสูงกับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ซึ่งเกิดจากผู้ประกอบการเหล่านั้นได้สร้าง ‘นวัตกรรม’ ผ่านสิ่งใหม่หรือนำสิ่งเก่ามาปฏิบัติในรูปแบบใหม่ เกิดเป็นวัฏจักร ‘การทำลายอย่างสร้างสรรค์’ กล่าวคือธุรกิจใหม่จะเข้ามาฆ่าธุรกิจเดิมไปเรื่อยๆ และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีกว่าแก่สังคม
จึงไม่ผิดนักหากเราจะบอกว่า การเรียนการสอนทักษะผู้ประกอบการเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้น ฉะนั้นแล้วการศึกษาไทยควรเพิ่มทักษะการเป็นผู้ประกอบการเข้าไปในหลักสูตรอย่างจริงๆ จังๆ เสียที
คำถามสำคัญก็คือ เราจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง?
จากบทความของคุณ เพชร เหมือนพันธุ์ ในมติชนให้แนะนำเอาไว้ว่า ภาครัฐต้องปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาในทุกระดับอย่างเร่งด่วน โดยจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับทักษะที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเด็กที่จบหลักสูตรแต่ละระดับต้องสามารถนำความรู้ประสบการณ์ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้
สอดคล้องกับแนวคิดของ ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจที่บอกว่า ภาครัฐควรจะสร้างระบบที่จะสามารถ ‘เชื่อมโลกของการศึกษากับโลกของการทำงาน (Putting Education to Work System)’ เข้าหากัน เพื่อสร้างโอกาสให้แรงงานมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ระบบการศึกษาและระบบการทำงานจำเป็นต้องวางแผนควบคู่กันไป มากกว่าดำเนินการคนละเส้นทางอย่างที่เป็นอยู่
สนามรบยุคดิจิทัล ผู้ชนะคือปลาเร็ว
คงเคยได้ยินคำเปรียบเปรยทางธุรกิจที่ว่า ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ กันบ้างแหละ แต่ยุคนี้มันไม่ใช่เรื่องของปลาใหญ่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เมื่อปลาเล็กๆ ที่ว่ายเร็วกว่า สามารถรุมกินปลาใหญ่อุ้ยอ้ายให้ตายไปจากสนามรบทางธุรกิจได้อย่างง่ายดาย อย่างล่าสุด Facebook เปิดฟีเจอร์หาคู่เป็นของตัวเอง ทำให้แอพพลิเคชั่นหาคู่เจ้าอื่นต้องเริ่มดีดดิ้นหาทางรอดกันบ้างแล้ว
การอยู่รอดทางธุรกิจในยุคดิจิทัลจึงเป็นเรื่องของการปรับตัว เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปหมด การทำธุรกิจแบบเดิมๆ อาจไม่ทันกาล ยกตัวอย่างแบรนด์ดังที่คุ้นหูพวกเราอย่าง MSN, EVS, Compaq, Enron, Nokia, Kodak ก็เคยสูญหายตามกาลเวลา ก่อนบางบริษัทจะได้รับการชุบชีวิตด้วยกลไกทางธุรกิจภายหลัง
ลองคิดดูว่าขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่ยังเคยพ่ายแพ้ นับประสาอะไรกับธุรกิจ SME ที่จะต้องดิ้นรนมากกว่าหลายเท่า การอยู่รอดในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้หรืออนาคตเราจะรอดตลอดไป เพราะถึงแม้ความเร็วแกนโลกจะหมุนในระยะเวลาเท่าเดิม กระนั้นข้อมูลข่าวสารบนโลกกลับหมุนไวกว่าเป็นเท่าตัว
โดยเฉพาะปี 2018 นี้ที่เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะสร้างโอกาสแก่ธุรกิจ SME โดยคุณ สกุลรัตน์ ตันยงศิริ หัวหน้าธุรกิจ LINE@ บริษัท Line ประเทศไทย แชร์ประสบการณ์ในงาน Thailand MBA Forum “Future SME” เอาไว้ว่า สิ่งที่เป็นไฮไลท์ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อผู้ประกอบการ SME คือ แนวโน้มการแข่งขันจะสูงมากขึ้น และผู้ประกอบการ SME 2.8 ล้านรายจะมีสัดส่วนใน GDP ถึง 39% และในอีก 5 ปีข้างหน้ากลุ่มนี้จะมีอัตราการเติบโตถึง 50%
ฉะนั้นเมื่อการแข่งขันสูงมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้อง ‘เร็ว’ ขึ้นเช่นกัน
ยิ่งศึกษา ยิ่งสะสมทุนทางสังคม
เกิดยาก – ตายง่าย – รอดน้อย เปรียบเสมือนชนักติดหลังเหล่า SME ไทยมาโดยตลอด เพราะเราต่างขาดความรู้, เวลา และทักษะผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัย ทำให้ SME หลายรายไม่ได้ไปต่อ ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ต้องหาทางดิ้นรนกันไป
หนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดก็คือ ‘การเรียนรู้’ สาเหตุก็เพราะการศึกษาเท่ากับการสะสมทุนอย่างหนึ่ง
ครั้นเวลาเปลี่ยน รูปแบบการศึกษาของสากลโลกก็ผันตาม วิชาความรู้ที่แต่ก่อนเหมือนเป็นสินค้าล้ำค่าในมหาวิทยาลัย ปัจจุบันกลับมิใช่แล้ว เราสามารถหาองค์ความรู้อื่นที่นอกเหนือมหาวิทยาลัยได้ตามอินเทอร์เน็ตหรือสถาบันต่างๆ การเปิดคอร์สเรียนออฟไลน์/ออนไลน์จึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอร์สทำอาหาร การแสดง หรือแม้กระทั่งศาสตร์แห่งเบียร์ ผลกระทบที่อาจหลีกเลี่ยงได้ยากก็คือการมองเห็นคุณค่าของใบปริญญาน้อยลง และนายจ้างรุ่นใหม่อาจหันมาใส่ใจกับคนที่มีประสบการณ์มากขึ้นนั่นเอง
TMB BIZ WOW กับการแลกคอร์สเรียนสำหรับผู้ประกอบการฟรีๆ
ธนาคารทหารไทย (TMB) ก็เป็นอีกหนึ่งสถาบันการเงินที่เห็นความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม จึงได้เปิดบริการ TMB BIZ WOW ที่สามารถเปลี่ยนธุรกรรมทางการเงินให้เป็นคะแนนสะสมเพื่อใช้แลกสิทธิประโยชน์ที่มากกว่า สำหรับลูกค้า SME ที่มีบัญชีธุรกิจ TMB SME One Bank และโมบายแอพ TMB BIZ TOUCH โดยเฉพาะ
ที่สำคัญคือ ฟรี!
หนึ่งในผลประโยชน์ที่ได้รับคือหมวด SME KNOWLEDGE คอร์สเรียนฟรีทางธุรกิจที่สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจของคุณ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเรียนเสริมสร้างทักษะผู้ประกอบการที่การศึกษาไทยไม่ค่อยสอน อาทิ โครงการ LEAN Supply Chain (Efficiency Improvement program by TMB) ที่ความรู้ทางด้านการพัฒนาประสิทธิภาพให้กับซัพพลายเชน โดยเน้นการเรียนรู้และนำไปใช้จริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการร่วมมือขององค์กรชั้นนำจำนวนมาก เรียกได้ว่าเรียนจบแล้วสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้ทันที
ที่ผ่านมา โครงการ LEAN Supply Chain ได้เริ่มต้นกับกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับภาคเกษตร ทำให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 0.1% และเมื่อโครงการประสบความสำเร็จ ทาง TMB จึงทำการขยายไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม Consumer Product (Non Food) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตตามขนาดประชากรและความเป็นอยู่ มีซัพพลายเชนที่ยาว ส่งผลให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 0.2%
นี่เป็นหนึ่งผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม หากมีการเรียนการสอนศาสตร์ผู้ประกอบการอย่างจริงจัง ผู้เรียนก็จะสามารถนำองค์ความรู้ไปปฏิบัติ พัฒนาธุรกิจ ถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายผลสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมได้สำเร็จ
สำหรับลูกค้า SME ไทยที่สนใจใช้บริการ TMB BIZ WOW และลองสำรวจผลประโยชน์ที่ทาง TMB เลือกสรรมาพิเศษตามความเหมาะสมสำหรับธุรกิจของท่านโดยเฉพาะ สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่ TMB BIZ WOW หรือ SME Center 02-828-2828
อ้างอิงข้อมูลจาก