ในสังคมทุกยุคทุกสมัยนั้นจะมีการกำหนด ‘สิ่งต้องห้าม’ (taboo) อยู่เสมอ ในรูปของข้อห้ามโดยตรงทางกฎหมายหรืออยู่รูปของกฎข้อห้ามบ้าง ข้อห้ามในเชิงวัฒนธรรมหรือมโนธรรมบ้าง หรือในบางครั้งก็ออกมาในรูปของความผิดปกติทางร่างกายหรือก็คือเป็นโรคบ้าง อย่างการเป็นรักร่วมเพศก็เคยผ่านทุกสถานะที่ว่ามาแล้วและในบางพื้นที่ก็ยังเป็นสิ่งต้องห้ามอยู่ อย่างไรก็ดีสิ่งต้องห้ามนั้นมีความเลื่อนไหลสูง พฤติกรรม, ความเชื่อ หรือรสนิยมที่เคยต้องห้ามในยุคหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่ดีในยุคต่อมาได้ ในทำนองเดียวกันสิ่งที่ดีในยุคหนึ่ง ก็สามารถกลายเป็นสิ่งที่เลวทรามต่ำช้าเหลือประมาณได้เช่นกัน
สังคมยุคสมัยใหม่อย่างในปัจจุบันนี้ที่ดำเนินไปบนการมีอยู่ของ ‘สภาวะอันเป็นปกติ’ (Normality) นั้นย่อมต้องมี ‘สิ่งต้องห้าม’ หรือสภาวะอันไม่เป็นปกติ (Abnormality) มากมายปะปนอยู่ในสังคมด้วย มิเช่นนั้นแล้ว หากไม่มีสภาวะความไม่เป็นปกติด้วย เราย่อมไม่อาจนึกถึงสภาวะอันเป็นปกติได้ และในบรรดา ‘สิ่งต้องห้าม’ หรือความผิดปกติที่โดดเด่น รุนแรง อุกอาจระดับท็อปชาร์ตในแทบทุกประเทศในปัจจุบันก็คือ ‘ความนิยมหรืออยากมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก’ (หรือก็คืออยากเอาเด็กนั่นแหละครับ) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Pedophilia
Pedophilia หรือการนิยม (อยาก) มีเพศสัมพันธ์กับเด็ก นั้นเป็นทั้งสิ่งต้องห้ามในทางกฎหมาย และถือเป็นสิ่งผิดปกติทางร่างกายด้วย คือ เป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่งในหนังสือของ American Psychiatric ชื่อ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders ระบุว่าในทางการแพทย์หรือจิตเวชย์นั้นนิยามอาการ Pedophilia นี้ว่า ความอยากมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่ยังไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์ (หรือในทางปฏิบัติก็คือ ‘วัยจ้องผสมพันธุ์’ นั่นเอง) ในเด็กผู้หญิงก็คือราวๆ อายุ 10 – 11 ปี ในขณะที่เด็กผู้ชายก็คืออายุราวๆ 11 – 12 ปี แต่โดยมากจะบวกเพิ่มมานิดหน่อย มีค่ากลางๆ โดยทั่วๆ ไปที่ 13 ปี โดยคนที่ถูกมองว่ามีอาการ ‘ใคร่เด็ก’ นี้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี และแก่กว่าเด็กที่จ้องจะระบายความใคร่อย่างน้อย 5 ปี
อย่างไรก็ตามการใช้โดยทั่วไปในทางสังคมไม่ได้ระบุเอาไว้เป๊ะๆ อะไรแบบนั้นครับ โดยมากในสังคมเราจะใช้คำนี้ในลักษณะที่บ่งชี้ถึง ‘ความใคร่เด็ก’ หรือการล่วงละเมิดทางเพศเด็กแทบทุกประเภท แต่คำถามในที่นี้คือ ‘ใครคือเด็ก?’ การตัดสินว่าใครคือเด็กหรือไม่ใช่เด็กนี้เองที่แตกต่างกันตามพื้นฐานของแต่ละสังคม โดยปกติแล้วกฎหมายแต่ละประเทศจะมีการกำหนดสิ่งที่เรียกว่า Age of Consent หรืออายุที่แบ่งความเป็นเด็กกับผู้ใหญ่อยู่ในทางกฎหมาย คือ แฮปปี้เบิร์ธเดย์วันข้ามเส้นอายุนี้ปุ๊บ กฎหมายประเทศนั้นๆ จะถือว่าเรามีคอมมอนเซนส์ มีการตัดสินใจด้วยตนเองได้ มีเหตุมีผลในทันที ในขณะที่ 1 วันก่อนหน้า หรือ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้เราไม่อาจจะดูแลตนเองได้นั่นเอง ยิ่งเด็กอายุห่างจาก Age of Consent ที่ว่านี้เท่าไหร่ ‘ความใคร่เด็ก’ จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น เพราะถือว่ายิ่งห่างจาก Age of Consent เด็กยิ่งไร้ขีดความสามารถในการปกป้องตนเอง เป็นผ้าขาวใสมากขึ้นเรื่อยๆ
Age of Consent หรือเส้นแบ่งความเป็นเด็กนี้ก็มักจะอยู่ราวๆ 14 – 18 ปี ตามแต่ว่ารัฐนั้นๆ จะให้สิทธิต่อขีดความสามารถทางสมองและการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลของเด็กๆ เร็วช้า มากน้อย เพียงใด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีดีเบตไปได้อีกยาว เพราะโลกนี้ก็มีเด็กแบบ Kim Ung-Yong ที่เรียนจบระดับปริญญาเอกได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี เป็นต้น ในขณะที่คนแก่ที่กุมอำนาจรัฐและเป็นผู้ขีดเส้นความเป็นเด็กกลับดูจะไร้ขีดความสามารถในการควบคุมและใช้เหตุผลได้กลับพบกันอยู่กลาดเกลื่อน ว่าสรุปแล้วการมีเส้น Age of Consent นั้นในทางหนึ่งแล้วมันคือการละเมิดเด็กไหมหรือเป็นการเหยียดเด็กในตัวมันเอง เพียงแค่อยู่ในนามของการ ‘ปกป้อง’ ไหม? เรื่องนี้ก็คงต้องเก็บไว้คิดกันต่อไป
ปัญหาที่ผมคิดว่าน่าขำขันของเรื่อง Pedophilia นี้หลักๆ แล้ว นอกเหนือไปจากการเบลอนมชิสุกะ ในเรื่องโดราเอมอน กรเซ็นเซอร์จู๋ของชินจังอะไรพวกนี้แล้วก็คือ ความย้อนแย้งอันมาจากความตอแหลหรือไม่ซื่อตรงต่อตัวเองในหลายๆ สังคม ที่แม้จะมีความอยากความใคร่นี้ก็ต้องแสดงออกผ่านทางอ้อมๆ โดยไม่รู้ตัว หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือ อยากท้าทายต่อเส้นแบ่งบางๆ ของ Age of Consent ที่เป็น ‘เส้นต้องห้าม’ ที่ว่ามานี้ เพราะฉะนั้นจึงเกิดสังคมแบบที่เราอาศัยอยู่กันคือ
เป็นสังคมที่กีดกันการใคร่เด็กหรือ Pedophilia แต่เครื่องปะทินผิวที่จะทำให้เรามี Baby face และ Baby skin นั้นวางอยู่ล้นแผงในแทบทุกที่ตั้งแต่ห้างใหญ่ๆ ยันร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย
ในแง่นี้เราจึงเป็นสังคมปากว่าตาขยิบ ที่ปากด่าว่าคนที่แสดงออกถึงความใคร่เด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็มีอาการเลือดลมเดินดีเป็นพิเศษบริเวณกลางลำตัวเมื่อพบเห็นคนที่ ‘หน้าเด็ก’ ที่สุด สวยใสดูเด็กที่สุดไปพร้อมๆ กัน…สรุปจะเอายังไงกันวะเนี่ย?
แน่นอนว่าด้วยความที่มันเป็นสิ่งต้องห้าม หรือ Taboo ตัวท็อปของวงการ การพูดคุยเรื่องนี้แม้แต่ในสังคมตะวันตกที่เปิดกว้างหน่อยยังต้องนับว่าแคบพอสมควร เพราะหากมีใครดันไปพูดสนับสนุน Pedophilia ขึ้นมา ก็จะถูกมองว่า ‘จิต’ ทันที ฉะนั้นแม้แต่ซีรีส์ที่โจ๋งครึ่มเยอะๆ อย่าง Game of Thrones ก็ยังไม่กล้าไปแตะในจุดนี้อย่างชัดๆ นัก หรือแม้แต่ซีรี่ส์เรื่อง West world ที่พยายามจะพูดเรื่องการปลดเปลื้องสันดานดิบของมนุษย์เมื่อไร้กฎข้อบังคับขึ้น ก็ดูจะจงใจงดเว้นการมีภาพ ‘ใคร่เด็ก’ ที่ว่านี้ไปเลย เป็นต้น ฉะนั้นเรื่อง Pedophilia มันจึงไม่เคยเป็นกระแสถกเถียงอย่างเปิดเผยมากนักในโลกตะวันตกมาระยะหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่ากระแสข้อถกเถียงในประเด็นนี้ โดยเฉพาะในลักษณะที่แสดงผ่าน ‘การเมืองของภาพหรือสิ่งที่ตาเห็น’ (Visual Politics) แล้ว เห็นจะไม่มีใครเกินโลกของการ์ตูนญี่ปุ่นหรือมังงะไปได้โดยง่าย ถึงขนาดที่มีหมวดการ์ตูนที่เรียกว่า Lolicon และ Shotacon กันโดยตรงเลยทีเดียว Lolicon ก็คือ นิยมเด็กผู้หญิง ในขณะที่ Shotacon คือนิยมเด็กผู้ชาย (และเอาจริงๆ มีสารพัดหมวดพันกันเร้นลึกอีกมากมายครับ) ตัวเรื่องก็มีตั้งแต่แบบน่ารักๆ ไม่มีอะไรหวือหวาทางเพศมากนัก อย่าง Card Captor Sakura อาจจะเพิ่มเลเวลมานิดด้วยฉากแปลงร่างเปลือยกายแบบเซเลอร์มูน เรื่องราวฮาๆ และภาพสวยๆ ที่ชวนให้เลือดลมเดินดีอย่าง To-Lover-U Darkness ไปจนถึงแกนเรื่องหนักๆ อย่างเรื่อง Aku no Hana เป็นต้น

ปกเล่มแรกของ Mujaki no Rakuen
มังงะเรื่องที่ผมอยากพูดถึงเป็นพิเศษคือเรื่อง Mujaki no Rakuen หรืออาจจะพอแปลเป็นภาษาไทยได้คร่าวๆ ว่าสวนสวรรค์ของความไร้เดียงสาครับ เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงพอสมควรในหมู่มังงะกระแสรอง เรื่องราวคร่าวๆ แบบไม่สปอยล์อะไรมากมายก็คือ พระเอกของเรื่องชื่อโชตะ เป็นพวกบ่จี๊อายุ 25 ปี เขาไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้นวัยประถมของเขาหลังจากไม่ได้เจอกันมานานนม (ก็คืออายุพอๆ กัน) แล้วก็โดนล้อโดยเพื่อนผู้หญิงร่วมชั้นของเขา ซึ่งดูจะประสบความสำเร็จในชีวิตกันถ้วนหน้า จากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุประหลาดเหนือธรรมชาติขึ้นที่สระว่ายน้ำ แล้วเขาก็ดันกลับเข้าไปอยู่ในร่างของตนเองตอนสมัยอยู่ชั้น ป.5 (อายุประมาณ 10 – 11 ปี) แต่ยังคงมีสติและความทรงจำของตัวเขาเองในวัย 25 ปีได้อยู่ แล้วชีวิตของโชตะก็ดำเนินต่อไปในสภาพแวดล้อมที่ว่า
ชีวิตของโชตะในสภาพสังคมดังกล่าวมันกลายเป็นอยู่ในสภาวะกึ่งสวรรค์กึ่งนรกไปโดยปริยาย เพราะเพื่อนร่วมยุคของเขาได้กระทำการ ‘ยั่วเย้า’ สารพัดแบบต่างๆ นานา โดยไม่รู้ตัวหรือด้วยความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ (แน่นอนอาจจะมีการเขียนภาพแบบล้นจริงอยู่บ้างตามประสาการ์ตูน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร) เช่น การเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยง, การก้มแบบไม่สนใจความโป๊ของตน, การถูโดนจู๋โชตะ, ไปจนถึงการจูบและอีกสารพัด ที่ทำโดยไร้เดียงสาบ้าง ความรักในช่วงวัยเด็กบ้าง (ซึ่งอาจจะจริงแท้ก็ได้ ใครจะรู้) หรือความเข้าใจผิดบ้างที่คิดว่าการนอนด้วยกันเฉยๆ หรือการจูบปากกันจะทำให้มีลูกได้นั่นเอง ฟังดูเหมือนจะเป็นสวนสวรรค์สำหรับโชตะ เพราะช่วงล่างของเขาก็ครึกครื้นไปกับสภาพดังกล่าวไม่น้อย อย่างไรก็ดีมันก็มีความ ‘กึ่งนรก’ ไปด้วยในตัว เพราะด้วยสภาวะทางจิตของโชตะคือตัวเขาเองในวัย 25 ปี เขาเองก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของ ‘ข้อห้าม’ ในการใคร่เด็กที่ว่านี้ ฉะนั้นแม้ว่าเขาจะมีความสุขกับมัน แต่เขาก็ต้องปฏิเสธมันไปพร้อมๆ กันด้วย
คำถามที่มากขึ้นไปก็คือ โชตะในสภาวะที่ว่านี้นับเป็น Pedophile หรือชาวใคร่เด็กบาปหนานั้นไหม? แต่เหตุการทั้งหมดที่เขากำลังเจอนั้น มันคือสิ่งที่เขาเองก็เคยเจอมาก่อนแล้วนะเมื่อตอนเขาอยู่ชั้น ป.5 จริงๆ เพียงแต่ตอนนี้เขาแค่กลับไปรับประสบการณ์เดิมอีกครั้งด้วยวิธีการรับรู้คนละชุดจากเดิม ไม่พอความใคร่กึ่งกระสันของโชตะเองส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขามีภาพความทรงจำของสภาพรูปลักษณ์และรูปร่างของเพื่อนๆ ป.5 ที่รายล้อมเขาอยู่ในตอนนี้ในยามที่อายุ 25 ปีและเบ่งบานเต็มที่แล้วด้วยเป็นพื้นฐาน เขาจึงสนองต่อความเร้าอย่างรุนแรง แต่คนที่เขาสนองความเร้าหรือกำลังโดนเร้าอารมณ์อยู่นั้นคือหมู่มวลเด็กอายุ 10 – 11 ปีนะ และพร้อมๆ กันไปตอนนี้ตัวเขาเองก็อยู่ในร่างที่อายุ 10 – 11 ปีด้วยนะ เขาจะนับเป็นชาวใคร่เด็กที่แสนบาปหนาอยู่หรือ?
ประเด็นที่ว่ามานี้ หากกล่าวกันอย่างถึงที่สุดแล้ว คือคำถามเรื่อง กายและจิต (Body and Mind) ในฐานะตัวตนที่ต้องพิจารณาอย่างแยกกันไหม โดยเฉพาะในกรณีของข้อห้ามหรือสิ่งต้องห้าม แต่จะพิจารณาแบบไหนเล่า?
หากมีเด็กอายุ 11 ปี ที่มีสมองและการให้เหตุผลดีพอๆ กับผู้ใหญ่ มีความรู้ไม่ด้อยกว่า อย่างนี้ แบบโชตะในเรื่อง จะแปลว่าการมีเพศสัมพันธุ์กับเด็กแบบที่ว่านี้ ‘ไม่นับ’ เป็นความใคร่เด็กไหม? นี่คือในกรณีที่มอง Mind และ Body แยกขาดจากกัน แต่หากบอกว่ากรณีที่ยกมานั้น ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถแยกแบบนั้นได้ ต้องยึดตาม Biological body หรือร่างกายในทางชีวิทยาเป็นหลัก นั่นแปลว่าในกรณีแบบของโชตะ หากโชตะสมาทานกับความใคร่ของตนเองโดยแท้จริง แล้วมีเซ็กส์กับเพื่อนร่วมชั้นของเขา ก็ต้องไม่นับว่าเป็นความใคร่เด็กใช่ไหม? เพราะในทางร่างกายแล้ว นี่ไม่ใช่รักที่ข้ามวัย เพราะเราไม่ได้สนใจ mental age หรืออายุทางจิตแล้ว เราสนแต่ร่างกาย โชตะจึงสามารถสนองความใคร่ของเขากับเพื่อนร่วมห้องคนไหนก็ได้ ถูกไหม? แล้วย้อนกลับมาสู่สภาวะความเป็นจริง เด็กที่มี mental age สูงกว่าเด็กอื่นๆ ร่วมชั้น ก็สามารถสมาทานต่อความใคร่ของตนได้ไหม หากเรามองว่า Body และ Mind มันเป็นหนึ่งเดียวกัน เลยยึดตาม Body แบบเดียวล้วนๆ
ผมคิดว่านี่คือคำถามที่มังหงะมันฉุดให้เราได้คิด พร้อมประเด็นต่างๆ อีกมากมาย ที่อาจจะมีที่ไม่พออภิปรายได้ครบถ้วน แต่ผมอยากให้เราลองย้อนกลับมามองดูว่าปัญหาอันเป็นทางสองแพร่งนี้ จะตอบอย่างไร หรือจริงๆ แล้วปัญหามันอยู่ที่การมีอยู่ของ taboo นี้เองว่าไม่ควรมีแต่ต้นไหม? หรือในสังคมปากว่าตะขยิบ ที่ช่วงล่างคึกคักเมื่อเห็นเบบี้เฟซต่างๆ ยิ้มให้นั้นหมายถึงอะไร? แล้วหากไม่มีร่างกายทางกายภาพจริงๆ เสียด้วยซ้ำล่ะ อย่างตัวละครในจินตกรรม อย่างมังงะ อะนิเมะ หรือเกมต่างๆ เช่นนี้ นับว่าไม่เป็น Pedophilia ไหม? เพราะนั่นมีแค่ Mind ไม่มี Body มากไปกว่านั้น หากมองเพิ่มไป ถ้าเช่นนั้น การเป็นจิ๋มกระป๋อง หรือตุ๊กตายาง ที่เป็น Body ไม่มี Mind เล่า ต้องนับว่าโอเคด้วยไหม? ถ้าหากทั้งสองอย่างนี้ควรจะโอเค แล้วหากใช้ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กันไป เล่า คือ ดูอะนิเมะเด็ก ไปพร้อมๆ กับตุ๊กตายางนั้น จะนับว่าครบทั้ง Mind และ Body เลยหรือเปล่า? หากใช่ ก็เท่ากับเรากำลังกลับไปหาปัญหาเริ่มแรกสุดอีกที
เรื่องราวมันซับซ้อนของมันอยู่นะครับ และที่น่าสนใจคือ ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ คือข้อถกเถียงที่มาจากมังงะที่คนไทยมักประณามมันว่าเป็นของเด็กอ่าน ไม่มองมันในฐานะวรรณกรรมทางการเมือง อย่างบทกวี นิยาย หรือภาพยนตร์สักเท่าไหร่เลย ช่างน่าเสียดาย ความคิดของเหล่าผู้ใหญ่เหยียดเด็กเหล่านั้น ที่วันๆ เอาแต่ขีดเส้นความเป็นเด็กความเป็นผู้ใหญ่จริงๆ