ช่วงเวลาแห่งความประทับใจ ใครๆ ก็อยากเก็บไว้ให้อยู่กับเรานานเท่านาน มีโอกาสได้เจอศิลปินที่เรารักอยู่ตรงหน้า ก็อยากจะเก็บช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ แต่กลัวว่าความทรงจำอาจจะหล่นหายไปได้ในสักวัน เลยถ่ายวิดีโอเก็บเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าถ่ายมากไปหรืออย่างไร ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง เรากลับนึกย้อนไปยังโมเมนต์นั้นไม่ได้สักที แม้จะมีวิดีโอที่ถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานก็ตาม ทำไมกันนะ ความทรงจำในโมเมนต์แสนประทับใจที่ควรจะจำได้ กลับหล่นหายไประหว่างทาง
ทั้งที่ได้ร้องเพลงโปรดจนเจ็บคอ กระโดดโลดเต้น ออกสเต็ปจนปวดหลัง แต่ผ่านไปได้ไม่นาน หลายคนกลับหลงลืมช่วงเวลาน่าประทับใจเหล่านั้นไป อาจไม่ได้หลงลืมหนักถึงขั้นจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงนั้น แต่เป็นการลืมรายละเอียดเล็กน้อย อย่างลืมไปว่าศิลปินเล่นเพลงนี้ด้วยหรอ มีแขกรับเชิญคนนี้มาตอนไหนกันนะ มีฉากนี้บนเวทีเมื่อไหร่กัน อาการเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คิดไปเอง แถมยังมีชื่อเรียกว่า ‘post-concert amnesia’ สิ่งนี้ไม่ใช่ชื่อโรคทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่เอาไว้อธิบายอาการที่เกิดขึ้นกับเหล่าแฟนๆ หลังคอนเสิร์ตเท่านั้น แล้วทำไมเราถึงลืมได้ง่ายขนาดนั้นกันล่ะ?
จริงๆ แล้วอาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่คอนเสิร์ตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อีวาน แมคเนย์ (Ewan McNay) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยา จาก State University of New York อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ว่า
“ถ้าเราอยู่ในสภาวะอารมณ์แปรปรวน
สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ”
หลักใหญ่ใจความของเรื่องนี้อยู่ที่การตอบสนองต่อความตื่นตัวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเดทแรก งานแต่ง วันเกิด เริ่มงานใหม่ อุบัติเหตุ สถานการณ์ใดก็ตามที่สร้างความตื่นเต้นหรือความตระหนกให้กับเรา ระดับความเครียดของร่างกายจะเพิ่มขึ้น เซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำจะเริ่มทำงานอย่างบ้าคลั่ง เลยทำให้ยากที่จะสร้างความทรงจำใหม่ๆ ขึ้นมาในตอนนั้น หมายความว่า วินาทีที่เหตุการณ์มันเกิดตรงหน้าเนี่ย เรารับรู้มันได้ปกติ แต่อาจจะจำได้เพียงลางๆ ในภายหลังนั่นเอง
ต้องเข้าใจก่อนว่า พอร่างกายเราเกิดตื่นเต้นหรือวิตกขึ้นมา สมองตีความว่าสิ่งนี้เป็นความเครียดไว้ก่อน หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มสูบฉีดกลูโคส ซึ่งเป็นโมเลกุลโปรดของสมองในการเติมพลังความจำ การคิด และการเรียนรู้ จากตับไปสู่กระแสเลือด เพื่อให้กล้ามเนื้อของเรามีแรงมากพอสำหรับสถานการณ์ตรงหน้า ที่ร่างกายไม่รู้ว่าเรากำลังเผชิญอันตรายหรือกำลังฟินกับศิลปินอยู่กันแน่ เพราะรับรู้แค่ว่าความตื่นเต้นมันเอ่อล้นจนไหลออกทางหูแบบนี้ สมองก็ขอตีความเป็นความเครียดไว้ก่อนแล้วกัน ก็เลยลืมเรื่องการสร้างความทรงจำไปเสียหมด เพราะย้ายพลังงานไปใช้กับการรับมือความเครียดแทน
และสมองส่วนอมิกดาลา (amygdala) เองก็มีบทบาทในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน พอร่างกายเกิดความตื่นเต้นมากเข้า สมองส่วนนี้ก็ผลิตฮอร์โมนนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) ทำหน้าที่คล้ายอะดรีนาลีนที่เรารู้จัก โดยทำหน้าที่กระตุ้นอัตราหัวใจเต้น ความดันเลือด การเผาผลาญกลูโคสเป็นพลังงาน การไหลเวียนเลือดไปที่กล้ามเนื้อ สร้างและเรียกความทรงจำ เราเลยมักจะจำเหตุการณ์สำคัญของเราได้ดี แต่เอ๊ะ แล้วทำไมเราถึงลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตได้ง่ายขนาดนั้นกันล่ะ? แมคเนย์อธิบายไว้ว่า กระบวนการเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยจะทำให้เราจดจำได้ดี แต่ถ้าตื่นเต้นหรือกังวลจนเกิดลิมิตจะทำให้เราแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย
จริงๆ แล้ว การหลงลืมอะไรสักอย่าง ไม่ได้ถือว่าเป็นข้อบกพร่องของสมอง ของร่างกาย เพราะความทรงจำของเรา ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้จดจำทุกอย่างได้แบบ 100% ตั้งแต่แรก แต่เราถูกออกแบบมาให้มีประสบการณ์ร่วมจากเหตุการณ์ต่างๆ แทน นั่นทำให้แม้เราจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอ ถ่ายภาพ เก็บเกี่ยวช่วงเวลาแสนประทับใจเอาไว้ ก็ไม่อาจทำให้เราจำโมเมนต์ ณ วินาทีนั้นได้อย่างแท้จริง
หลายคนเองก็น่าจะเคยเจอประสบการณ์ เปิดวิดีโอที่ถ่ายไว้ขึ้นมา แล้วก็งงไปเลยว่าสถานการณ์ในนั้นไม่เหมือนในความทรงจำของเราสักนิด การถ่ายวิดีโอไว้อาจเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันว่ามีสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง เก็บภาพความประทับใจเอาไว้ชมภายหลัง แต่ไม่ช่วยสมองรื้อฟื้นความทรงจำได้ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ การถ่ายวิดีโอเก็บไว้ก็ไม่ควรทิ้งระยะนานเกินไป เพราะหน้าจอของเราอาจรบกวนผู้ชมรอบข้างได้เหมือนกัน
แล้วถ้าเราอยากเล่นกลกับสมอง ให้จำเรื่องราวได้ดียิ่งขึ้นได้ไหม? อีวานยืนยันว่าทำได้ ด้วย semi-meditative state พยายามไม่ให้เราตื่นเต้นจนเกินไป ทำใจให้สบายและอยู่กับโมเมนต์ปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะสมองจะคอยสอดส่องร่างกายอยู่เสมอว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด ควบคุมอารมณ์ให้ได้เพื่อกล่อมสมองว่าสบายดีจ้า ไม่ต้องเป็นห่วง กำลังเอ็นจอยกับคอนเสิร์ต ไม่ได้กำลังเผชิญอันตรายที่ไหน อาจควบคู่ไปกับถ่ายวิดีโอไว้บ้างก็ไม่แย่อะไร แค่ไม่ยกมือถือนานจนคนข้างหลังต้องดูผ่านจอเราแทนก็พอ
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็อย่ากังวลไปถ้าเราหลงลืมอะไรไปบ้าง เพราะสมองของเราไม่ได้ออกแบบมาให้จำทุกอย่างได้อยู่แล้ว
อ้างอิงจาก