Tag: fun fact

‘ผิดกฎหมาย’ ต้องให้ศาลตัดสินและคดีถึงที่สุด ก่อนหน้านั้นให้ถือว่า ‘ไม่ผิด’

ผู้มีอำนาจบางคนมักท่องคาถาว่า ตัวเองนั้น ‘ทำตามกฎหมาย’ ส่วนคนอื่นๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายบางอย่าง นั้นเป็นพวก ‘ทำผิดกฎหมาย’ ไม่ว่าจะในช่วงเวลาปกติ หรือในช่วงเวลาที่ใช้กฎหมายพิเศษอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งๆ ที่การกล่าวอ้างดังกล่าว อาจขัดหรือแย้งกับสิทธิที่รัฐธรรมนูญไทยหลายๆ ฉบับที่รับรองไว้ นั่นคือ สิทธิในการสันนิษฐานว่า คดีอาญาใดๆ ที่ศาลยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุด ให้ถือว่าผู้นั้นยังไม่มีความผิด หรือภาษาพูดคือ ‘ยังบริสุทธิ์’ อย่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 29 วรรคสอง ก็บัญญัติไว้ว่า “..ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้..” ดังนั้น ในอนาคตหาเจอผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะสวมชุดสูท ชุดสีเขียว หรือชุดสีกากี กล่าวอ้างว่า ใครก็ตาม ‘ทำผิดกฎหมาย’ ให้ถามย้อนกลับไปว่า ศาลตัดสินหรือยัง? คดีถึงที่สุดแล้วหรือ? เพราะหากท้ายที่สุดแล้ว ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น อัยการไม่สั่งฟ้องหรือศาลตัดสินยกฟ้อง ซึ่งแปลง่ายๆ ว่า ไม่มีความผิด คนที่ไปพูดย้ำๆ ว่า เขา ‘ทำผิดกฎหมาย’ จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้าจะใช้คำที่เป็นธรรมกับผู้เกี่ยวข้อง ควรจะเลี่ยงไปว่า […]

ห้ามผู้เป็น ‘นายกรัฐมนตรี’ อยู่ในตำแหน่งรวมเกิน 8 ปี (แต่..)

เพราะอยู่ในยุคไม่ปกติ เนติบริกรมีเต็มบ้านเต็มเมือง เวลาพูดถึงกฎหมายน่าสนใจ จึงต้องมีคำว่า “แต่..” ต่อท้ายเสมอ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงกฎหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กำหนดวาระดำรตำแหน่งของหัวหน้าฝ่ายบริหารอย่าง ‘นายกรัฐมนตรี’ ไว้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ อย่างน่าสนใจ เพราะนอกเหนือบทบัญญัติทั่วๆ ไป เรื่องวาระดำรงตำแหน่งสมัยละไม่เกิน 4 ปี ในมาตรา 158 วรรคสี่ ยังเขียนถึง ‘ระยะเวลาสูงสุดในการดำรงตำแหน่ง’ นายกฯ เอาไว้ว่า “..นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดํารงตําแหน่งติดต่อกันหรือไม่..” ซึ่งบทบัญญัตินี้ต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ไม่กำหนดระยะเวลาสูงสุดในการดำรงตำแหน่ง หรือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่แม้กำหนดระยะเวลาสูงสุดในการดำรงตำแหน่งไว้ 8 ปีเช่นกัน แต่ต้องเป็นการดำรงตำแหน่ง ‘ติดต่อกัน’ พอเนื้อหากฎหมายเป็นเช่นนี้ ก็เลยนำมาสู่คำถามว่า แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกฯ ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2557 แปลว่าจะเป็นนายกฯ ได้แค่จนถึงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2565 ใช่หรือไม่? […]

ก่อนออก กม.ใดๆ รัฐต้องเปิดรับฟังความเห็น และวิเคราะห์ผลกระทบของ กม.

แม้จะมีจุดบกพร่องอยู่มาก แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ก็มีส่วนที่ก้าวหน้าอยู่บ้าง อาทิ มาตรา 77 ที่กำหนดให้รับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบก่อนที่จะมีการออกกฎหมายใดๆ ออกมาใช้บังคับ ซึ่งการกำหนดให้ต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบก่อนออกกฎหมายใดๆ หรือ RIA – Regulatory Impacts Assessment ถือเป็นหลักการใหม่ที่มีขึ้นมา เพราะปัจจุบัน ไทยมีกฎหมายมากกว่า 1 แสนฉบับ ถือว่ามากเกินความจำเป็น และส่งผลกระทบต่อประชาชน แต่ก็เช่นเคย แม้หลักการและกฎหมายจะมีเนื้อหาที่ดี แต่เมื่อถึงขั้นตอนปฏิบัติกลับเจอช่องโหว่ให้ต้องปรับปรุงกันไป โดยในวิธีการรับฟังความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 77 ที่ประชุม ครม. ในยุครัฐบาล คสช. กำหนดไว้ว่า การนำร่างกฎหมายขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์หน่วยงาน หรือเว็บไซต์ www.lawamendment.go.th เป็นเวลา 15 วัน ก็ถือว่าเป็นการ ‘รับฟังความคิดเห็น’ แล้ว ร่างกฎหมายบางฉบับ เราจึงได้เห็นคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเพียงหลักหน่วยเท่านั้น ซึ่งก็ชวนตั้งคำถามว่า การรับฟังความเห็นด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้เราได้ ‘ความเห็นของประชาชน’ จริงๆ หรือแค่ ‘ทำไปตามขั้นตอน’ เป็นพิธีกรรมเท่านั้น   […]

รัฐบาลต้องชี้แจงแหล่งที่มารายได้สำหรับการดำเนินนโยบาย (แต่..)

สิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษ คำโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ เมื่อถึงเวลานำไปปฏิบัติจริง อาจไม่เป็นไปตามนั้น หนึ่งในตัวอย่างก็คือเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 ที่ว่าด้วยกลไกกำกับความโปร่งใส ความเป็นไปได้จริง และการปฏิบัติตาม ‘คำสัญญา’ ที่ได้หาเสียงไว้ – ที่เราเรียกกันว่า ‘นโยบาย’ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 162 กำหนดไว้ว่า ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นอกจากเนื้อหาในนโยบายนั้นจะต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายของรัฐ และยุทธศาสตร์แล้ว ยังต้อง “..ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนํามาใช้จ่ายในการดําเนินนโยบาย..” อ่านเนื้อหามาตรานี้ หลายๆ คนคงวาดฝันว่า จะมีการบอกว่า นโยบายต่างๆ จะใช้งบเท่าใด ให้ข้อมูลเป็นตัวเลขอย่างชัดเจน และจะนำเงินมาจากแหล่งไหน แหล่งละเท่าใด ให้รายละเอียดไว้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งเพื่อแสดงความโปร่งใส และให้ประชาชนเข้ามาช่วยกันสอดส่องดูแลตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2562 จำนวน 37 หน้า กลับไม่พูดถึงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะใช้ในการดำเนินนโยบายเลย มีเพียงการแตะเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรืออาจใช้จ่ายจากแหล่งเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินกู้หรือให้เอกชนร่วมทุน ซึ่งก็ยังสงสัยกันอยู่ว่า เป็นการปฏิบัติตามมาตรา 162 หรือไม่? – […]

จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ส.ว.เกิน 1/3 ต้องเอาด้วย

นี่คือ ‘เงื่อนตาย’ ที่จะชี้ขาดการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ ‘จะแก้สำเร็จหรือไม่’ แต่เป็นว่า ‘จะเริ่มแก้ได้หรือเปล่า’ ซะด้วยซ้ำ! ร่างรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หรือบางคนเรียกว่า ‘ฉบับมีชัย’ ตามชื่อของมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ซึ่ง คสช.ตั้งขึ้นมาให้จัดทำกฎหมายสูงสุดของประเทศฉบับนี้ (แต่ตัวมีชัยเรียกว่า ฉบับปราบโกง) ถูกวิจารณ์ไว้แต่ต้นว่าเขียนกติกาให้แก้ไขได้ยากมาก..จนแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะใช้สูตรไหน-โมเดลใดก็ตาม จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งกำหนดไว้ว่า การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระแรก นอกจากต้องได้เสียง ส.ส.และ ส.ว.เกินกึ่งหนึ่งของทั้งหมดแล้ว (ปัจจุบันมี ส.ส. 489 คน และ ส.ว. 250 คน เกินกึ่งหนึ่งคือ 370 คนขึ้นไป) ในจำนวนนั้นจะต้องมีเสียง ส.ว. 1/3 ของทั้งหมดขึ้นไป (84 คนขึ้นไป) ขณะที่ในวาระที่สาม ไม่เพียงต้องการเสียง ส.ส.และ ส.ว.เกินกึ่งหนึ่ง โดย […]

บัตรเลือกตั้ง ส.ส.ใบเดียว มีผลทำให้รัฐบาลอ่อนแอ

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งถูกมองว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุด วางแนวคิดในการออกแบบโครงสร้างการเมือง โดยเฉพาะระบบการเลือกตั้ง ส.ส. (ให้มีบัตร 2 ใบ เลือก ส.ส.เขต 400 คน กับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน โดยกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำพรรคที่จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ คือได้คะแนน 5% ขึ้นไป) มุ่งให้เกิดรัฐบาลที่เข้มแข็ง เพื่อแก้ไขปัญหารัฐบาลผสมที่อ่อนแอในอดีต จะได้เดินหน้าผลักดันนโยบายหรือทำภารกิจต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องราวความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กลับถูกเขียนขึ้่นโดยใช้แนวคิดที่สวนทางกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง กลับมาใช้บัตรใบเดียว และใช้วิธีคิดคะแนนแบบจัดสรรปันส่วนผสม (mixed member apportionment system หรือ MMA) ด้วยข้ออ้างว่า “เพื่อป้องกันเสียงตกน้ำ” ทว่าระบบการคิดคะแนนแบบ MMA อันซับซ้อน นำคะแนนเลือก ส.ส.เขต 350 คน ไปหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน ทำให้การเลือกตั้ง เมื่อวันที่ […]

รธน.นี้บัญญัติว่า ให้รัฐส่งเสริม ‘ศาสนาพุทธเถรวาท’ ถือเป็นครั้งแรกที่เขียนไว้เช่นนี้

ศาสนาถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเสมอ ในว่าจะในสังคมใด ที่ผ่านมาแม้มีชาวพุทธบางกลุ่มพยายามกดดันให้รัฐธรรมนูญหลายๆ ฉบับ บัญญัติไว้ว่า ‘ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ’ แต่ผู้เกี่ยวข้องก็ไม่ทำตาม ด้วยคำนึงความละเอียดอ่อนที่ว่า ในช่วงของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ก็มีเสียงเรียกร้อดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ปฏิเสธ โดยเขียนไว้ในมาตรา 67 ว่า “รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น” ซึ่งคล้ายกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และฉบับปี 2550 ที่ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ กรธ.กลับเพิ่มข้อความไปในมาตรา 67 วรรคถัดไป ว่า “ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านานรัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญาและต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใดและพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการเขียนไว้ลักษณะนี้ ผลจากการเขียนโดยให้น้ำหนักกับบางศาสนาบางนิกายเป็นพิเศษ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ในการลงประชามติ เมื่อปี 2559 ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนลงมติ ‘โหวตโน’ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้ง จ.นราธิวาส ไม่เห็นชอบ 61.84% จ.ยะลา ไม่เห็นชอบ 59.54% และ จ.ปัตตานี ไม่เห็นชอบ 65.14% อุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ. ชี้แจงว่า ตามเจตนาของร่างรัฐธรรมนูญแม้จะเขียนให้ทำนุบำรุงศาสนาพุทธนิกายเถรวาทที่เป็นศาสนาที่คนไทยนับถือมากที่สุด […]

มีผู้ถูกจับกุมเพราะเห็นต่าง ในช่วงประชามติรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 203 คน

ผู้สนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มักอ้าง คะแนนเสียง ‘รับร่างรัฐธรรมนูญ’ จากการทำประชามติเมื่อปี 2559 กว่า 16.8 ล้านเสียง แต่มักละเลยที่จะพูดถึงบรรยากาศหรือสถานการณ์ในช่วงก่อนหน้าการจัดทำประชามติว่า ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารมากน้อยแค่ไหน โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw เคยรวบรวมสถิติคดีความที่เกี่ยวข้องกับทำประชามติดังกล่าว พบว่ามีประชาชนอย่างน้อย 203 คน ถูกจับกุมดำเนินคดี ทั้งอ้าง พ.ร.บ.ประชามติ (43 คน) หรืออ้างคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 (160 คน) จากกรณีที่พวกเขาออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ หรือเห็นแย้งจากข้อมูลของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ, แจกเอกสารให้ความรู้และคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ, ตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ, เสวนาให้ความรู้ร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ แม้เราไม่อาจมีทางรู้ได้เลยว่า หากเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นกันเต็มที่ ผลของประชามติจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ นี่คือ ‘ตราบาป’ ในการทำประชามติดังกล่าว ที่จะถูกหยิบมาเป็นบทเรียนสำหรับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญครั้งต่อๆ ไปว่า อย่าทำให้กลับมาเกิดซ้ำอีก แล้วผลของมันจะได้รับการยอมรับมากกว่านี้ อ้างอิงจาก https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10159197642995551/ #แก้ไขรัฐธรรมนูญ #รัฐธรรมนูญของเรา #ourconstitution #TheMATTER

‘ผู้ยากไร้’ กับบริการสุขภาพ หนึ่งในดีเบตเกี่ยวกับ รธน.นี้

‘โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า’ ซึ่งเคยใช้ชื่อว่า 30 บาทรักษาทุกโรค และต่อมาเปลี่ยนเป็น ‘บัตรทอง’ ถูกผู้มีอำนาจในรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วิจารณ์อยู่หลายครั้งว่า ใช้งบประมาณค่อนข้างมาก กระทั่งมีผู้เสนอแนวคิดให้ผู้ป่วยร่วมจ่าย หรือ co-payment นำมาสู่เสียงต่อต้านอย่างกว้างขวาง เพราะมองว่าจะไปกีดกันคนจำนวนมากให้ ‘เข้าไม่ถึง’ บริการทางสาธารณสุข ผู้เกี่ยวข้องจึงยังไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อรัฐธรรมนูญไปเขียนไว้ในมาตรา 47 วรรคสองว่า “บุคคล #ผู้ยากไร้ ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ” หลายๆ ฝ่าย จึงตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงไปกำหนดว่าเฉพาะ ‘ผู้ยากไร้’ ไม่ใช่ ‘คนทั่วไป’ ทุกๆ คน ? เนื้อหากฎหมายเช่นนี้จะกระทบกับบัตรทองหรือไม่ ซึ่งเป็นบริการสาธารณสุขขั้นพื้นที่ ที่มีผู้รับบริการ 48 ล้านคน หรือไม่ (ประกันสังคม 10 ล้านคน สวัสดิการข้าราชการ 5 ล้านคน) หรือไม่ ? คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จึงต้องเรียงหน้าออกมาชี้แจงว่า เนื้อหาของรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว จะไม่ไปกระทบกับโครงการบัตรทอง แถมยังมีเนื้อหาในมาตรา […]

กำหนดให้ ได้ ‘เรียนฟรี’ เป็นเวลา 12 ปี ..คือได้เรียนฟรีถึงระดับชั้นไหน?

แม้หลายคนจะแซวๆ หรือวิจารณ์นโยบาย ‘เรียนฟรี’ ว่าไม่ฟรีจริง ยังมีการเก็บค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ เต็มไปหมด ทว่า นโยบายนี้ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองได้บางส่วน รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 54 วรรคแรก เขียนเกี่ยวกับการ ‘เรียนฟรี’ ไว้ว่า “รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปีตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” ข้อความที่ถูกจับตา คือการเรียนฟรีในรัฐธรรมนูญนี้ที่กำหนดไว้ว่า #เป็นเวลาสิบสองปี ต่างกับฉบับปี 2550 และฉบับปี 2540 ที่เขียนไว้า #ไม่น้อยกว่าสิบสองปี จะเห็นได้ว่าใช้ถ้อยคำที่ต่างกัน มีคำอธิบายจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ถ้าดูเนื้อหามาตรา 54 วรรคแรก ดีๆ จะพบว่า เขียนให้ครอบคลุมการเรียนฟรี ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจนถึง ม.ต้น โดยตัด ม.ปลายออกไป เพราะความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะเริ่มตั้งแต่เด็กๆ แล้ว จึงควรสนับสนุนทุกๆ คนให้เท่ากันตั้งแต่เริ่มต้น ส่วนใครที่อยากเรียนต่อ ม.ปลาย ในมาตรา 54 วรรคหก ได้พูดถึงการจัดตั้ง ‘กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา’ หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อว่าประเด็นเรื่องการศึกษาน่าจะถูกหยิบยกมาพูดคุยกัน เพราะเป็นอีกเรื่องที่สำคัญต่อการพัฒนาสังคมและประเทศ อ้างอิงจาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF https://cdc.parliament.go.th/draftcons…/ewt_dl_link.php… #แก้ไขรัฐธรรมนูญ #รัฐธรรมนูญของเรา #ourconstitution #TheMATTER