พรุ่งนี้ (4 มิ.ย.) จะครบรอบ 1 ปี การหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมประชาธิปไตยและผู้ลี้ภัยชาวไทย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงร่วมกันจัดกิจกรรม #ItCouldBeYou และงานเสวนา ‘ถอดบทเรียนสังคมไทย 1 ปีอุ้มหายวันเฉลิม’
ในงานเสวนานี้ มีตัวแทนจากหลายภาคส่วนมาร่วมเสวนาถึงความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดย มนทนา ดวงประภา เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลและนักกฎหมาย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงบริบทของสาเหตุที่เกิดการอุ้มหายว่า ช่วงหลังการรัฐประหารปี 2557 ถึงช่วงกรกฎาคมปี 2561 นั้น มีผู้ลี้ภัย 104 คน
ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงก่อนที่จะมีการรัฐประหาร กลุ่มนักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย กลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มบุคคลทั่วไปที่เห็นว่าภัยกำลังมาจะถึงแล้ว การถูกเรียกรายงานตัวในช่วงรัฐประหาร โดยเป็นการเรียกตัวไปยังสถานที่ที่บุคคลไม่คุ้นชิน และหากไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย ก็เสี่ยงต่อการถูกควบคุมตัวโดยมิชอบ
นอกจากนี้ มนทนายังกล่าวถึงเรื่องของการดำเนินคดี ม.112 โดยช่วงรัฐประหารครั้งล่าสุดนั้น เป็นโอกาสให้คดีเหล่านี้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่กระบวนการยุติธรรมยังน่าเคลือบแคลงอยู่หลายประการ พร้อมระบุว่า หากบุคคลเหล่านี้กลับมายังประเทศก็อาจถูกจับได้ ขณะเดียวกัน คนที่ลี้ภัยไปต่างประเทศก็อาจถูกคุกคามได้ โดยยกตัวอย่างกรณีของวงไฟเย็นที่ถูกข่มขู่เอาชีวิต
อีกกรณีคือ การซ้อมทรมาณและบังคับให้สูญหาย ซึ่งมนทการใช้คำว่า ‘เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ และไม่ได้รับอนุญาตให้ตาย’ โดยบุคคลสูญหายเหล่านี้มีอย่างน้อย 9 รายหลังจากที่ คสช.เข้ายึดอำนาจ และมี 2 รายที่พบศพในภายหลัง
“การที่คนถูกไม่อนุญาตให้อยู่ ไม่อนุญาตให้ตาย มันส่งผลถึงครอบครัวของเขา ซึ่งครอบครัวของเขาก็จะพบกับความคลุมเครือที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเขา ถ้าหาไม่เจอก็คือความคลุมเครือและความเจ็บปวดตลอดกาล ซึ่งก็เป็นการทรมาณในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับผู้ลี้ภัย แต่เกิดขึ้นกับคนรอบข้างที่เขาสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอุดมการณ์ และที่สำคัญก็คือเพื่อนที่ร่วมประเทศ กับเรานี่แหละ”
นอกจากนี้ มนทการยังย้ำว่า เสนอให้แก้ไขความร่วมมือในระบบภูมิภาคเพื่อให้เกิดการสืบสวนสอบสวนในคดีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ก็กล่าวย้ำถึงเรื่องนี้ว่า บริบททางการเมืองและการกระชับอำนาจทำให้ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ในนิยามระหว่างประเทศ ญาติของผู้ถูกบังคับสูญหาย ก็เข้าข่ายเป็นผู้ที่ถูกกระทำทรมาณด้วย
ขณะเดียวกัน บาดาร์ ฟารุคฮ์ เจ้าหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชนและหัวหน้าทีมประเทศไทย ประจำสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ พูดถึงพันธะของประเทศไทยกับองค์การสหประชาชาติ โดยประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้หลายอย่าง แต่ทางสหประชาชาติก็ตั้งคำถามกับรายงานที่ทางการไทยส่งไป เนื่องจาก ตัวเลขของการร้องเรียนมีมากถึง 248 กรณี แต่กลับมีการรับพิจารณาเพียงแค่ 2 กรณี โดยหนึ่งในสองเป็นเรื่องของการสูญหาย
นอกจากนี้ ยังมีคำถามใหญ่ๆ ถึงรายชื่อของบุคคลสูญหายที่ได้รับการรับรองแล้วจากองค์การสหประชาชาติ แต่กลับถูกลดจำนวนลง ทั้งที่ทางการไทยยังไม่สามารถค้นหาความจริงของบุคคลสูญหายเหล่านั้นได้
บาดาร์ ยังย้ำด้วยว่า การผลักดันให้ผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้การทรมาณและการอุ้มหายเป็นความผิดทางอาญา ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมา ขณะที่ ภัทรานิษฐ์ เยาดำ เจ้าหน้าที่อาวุโสงานรณรงค์และนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เสริมว่า นอกจากเรื่องของกฎหมายแล้ว ยังมีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้และทำให้ทัศนคติของสังคมโดยรวมเข้าใจเรื่องนี้ และป้องกันไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ (2 มิ.ย.) สิตานันท์ สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ และกัญญา กัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ธีรวุฒิ ได้เข้ายื่นเอกสารแก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นเอกสารข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และขอให้ติดตามการสูญหายไปโดยไม่ทราบชะตากรรมของผู้ลี้ภัยทางการเมืองทั้ง 2 ราย
ฟังเสวนาเต็มๆ ได้ที่: https://www.facebook.com/watch/live/?v=197887748869697&ref=watch_permalink
#1ปีวันเฉลิม #อุ้มหาย #ItCouldBeYou #TheMATTER