“แม่บอกว่าถ้าไม่เข้ารับ (ปริญญา – ผู้เขียน) คนอื่นจะรู้ได้ไงว่าเรียนจบ ไม่เห็นยากเลยแม่ ตอนนี้เขารู้กันตั้งแต่อนุสาวรีย์ยันรังสิตแล้ว”
กลายเป็นไวรัลสำรับช่วงใกล้เทศกาลรับปริญญาเช่นนี้ เมื่อเฟซบุ๊ก Patcha Prangpan ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวพร้อมภาพหน้าตัวเองติดอยู่ข้างๆ ตัวรถเมล์ โพสด์ดังกล่าวยังเขียนข้อความเพิ่มเติมถึงสถานศึกษาที่จบมา วันเวลางานรับปริญญา พร้อมทิ้งท้ายว่า “มาตอนไหนก็ไม่เจอเพราะไม่ได้เข้า (งานรับปริญญา – ผู้เขียน) แค่แจ้งให้ทราบเฉยๆ”
The MATTER ติดต่อพูดคุยกับ ก๊องแก๊งค์ – ภัทชา ปรังพันธ์ บัณฑิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ถึงโพสต์ดังกล่าว ซึ่งเธอเล่าปนขำขันว่า โพสต์ดังกล่าวเกิดจากการตัดต่อ เธอไม่ได้เช่าพื้นที่โฆษณาของรถเมล์จริง และที่ทำไปเพราะเห็นเพื่อนๆ ลงเยอะเลยอยากล้อไปตามกระแสบ้าง
“ตอนนี้มันเป็นช่วงรับปริญญา และเพื่อนๆ ชอบโพสต์โปสเตอร์พร้อมหน้าตัวเองเขียนว่า ‘วันซ้อมวันนี้ วันจริงวันนี้ มาถ่ายรูปด้วยกันนะ อะไรแบบนี้’ ทีนี้ตัวเราเองไม่ได้เข้ารับปริญญา แต่เห็นว่าคนลงเยอะเลยอยากลงบ้าง (หัวเราะ)”
เธออธิบายถึงแคปชั่นที่เขียนว่า “ถ้าไม่เข้ารับคนอื่นจะรู้ได้ไงว่าเรียนจบ” ว่ามันสะท้อนว่าสังคมไทยนั้นให้ความสำคัญกับ “เปลือก” หรือพิธีกรรมบางอย่างมากเกินไป อย่างที่เธอเปรียบในโพสต์ต่อมาว่า โพสต์ของเธอแชร์ไปไกลมากจนคนรับรู้การสำเร็จของเธอมากกว่า “ป้าข้างบ้าน” แล้ว
“ป้าข้างบ้านจะคอยถามเราอยู่เรื่อยๆ ว่าอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ เรียบจบหรือยัง ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยได้ตอบเท่าไหร่ แต่จะเป็นแม่เราที่เป็นคนเจอ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเขาเป็นห่วงเราจังเลยนะ (หัวเราะ)”
สำหรับเธอที่เคยดรอปที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพื่อไปเรียนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT เป็นเวลา 1 ปี ทำให้เธอต้องจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันคนอื่น เธอแชร์มุมมองถึงผลกระทบจากความ ‘ป้าข้างบ้าน’ หรือมุมมองของสังคมไทยที่ให้น้ำหนักกับช่วงอายุ วุฒิการศึกษา และความสำเร็จในชีวิตว่า
“สำหรับตัวเราเองและวัยรุ่นเดียวกัน เราไม่กดดันหรอก แต่เรากลัวว่าพ่อแม่เราจะอายไหม ถ้าอย่างเราเรียบจบช้าแบบนี้ (ก๊องแก๊งค์เรียบจบช้าเพราะไปเรียนที่อเมริกามา 1 ปี – ผู้เขียน) พ่อแม่เขาจะโอเคหรือเปล่า ป้าข้างบ้านอาจจะไม่มองด้วยซ้ำว่าเราไปเรียนที่ไหนมาบ้าง แต่เขาเหมือนให้น้ำหนักกับช่วงเวลาที่เราจบมากกว่า”
ก๊องแก๊งค์บอกว่าเธอโชคดีที่ที่บ้านเข้าใจและโอเคกับการไม่เข้าร่วมงานรับปริญญาบัตร ซึ่งสำหรับเธอมองว่า มันเป็นพิธีกรรมที่เสียค่าใช้จ่าย และเสียเวลา โดยเฉพาะเมื่อเธอเริ่มเข้าสู่วัยทำงานแล้ว
“หนึ่งมันเป็นงานที่หมดค่าใช้จ่ายเยอะมาก สองคือมันเสียเวลา อย่างวันจริงเราต้องลางานเพื่อมาร่วมงาน หมดไป 1 วันเลยนะ โดยที่เรานั่งอยู่ในหอประชุมเฉยๆ ยังไม่รวมวันซ้อม วันอะไรอีก เราเอาเวลาไปหาเงินดีกว่าไหม” เธอกล่าว
“แก๊งค์มองว่าเราไม่จำเป็นต้องมีรูปนั้น หรือไม่ต้องให้ใครมาร่วมแสดงความยินดีกับเราก็ได้ เราอาจจะถ่ายรูปกับครอบครัวพร้อมใบปริญญาที่บ้านก็ได้ โดยที่เราไม่ต้องไปหมดเวลา 1 วันกับตรงนั้น” บัณฑิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เสริม
เธอเปรียบเทียบประสบการณ์ที่เคยไปเรียนที่อเมริกาเป็นระยะเวลา 1 ปี กับประสบการณ์การเรียนที่ไทยว่า ทั้งแตกต่างในเรื่องสภาพห้องเรียน รวมถึงวิธีการสอน ซึ่งเธอกล่าวว่าในต่างประเทศมักจะให้น้ำหนักกับการเรียนรู้และดีเบตในห้อง มากกว่าวิธีการเลคเชอร์แบบห้องเรียนไทย ที่สำคัญเธอมองว่าระบบการศึกษาในไทยให้ความสำคัญกับพิธีกรรมมากเกินไป
“เรารู้สึกว่าการศึกษาของประเทศไทย มันหมดไปกับพิธีกรรมมากเกินไป อย่างรับน้องมันทำให้เรารู้จักคนในคณะก็จริง แต่มันไม่ทำให้เรารักกันมากขึ้นหรอก ตอนเราไปเรียนต่างประเทศ มันไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้เท่าไหร่ ถ้าเราอยากร่วมกิจกรรมมันไม่ใช่การบังคับ หรือกินเวลาเรียนเรา แต่มันคือหลังเลิกเรียนแล้วเราไปทำเอง เรารู้สึกว่ามันคือการศึกษาจริงๆ ไม่ต้องมีคะแนนกิจกรรม คะแนนนั้นนี่ เรารู้สึกว่าระบบการศึกษาไทยมันแปลกๆ” เธอกล่าว
เธอทิ้งท้ายว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการศึกษาคือความรู้ ไม่ใช่พิธีกรรมหรือใบปริญญาอะไรก็ตามที่ได้รับเมื่อเรียนจบ เธอกล่าวว่า
“สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับระบบการศึกษาคือความรู้ บางคนเรียนจบสูงแต่ไม่รู้จะเอาความรู้ไปถ่ายทอด หรือใช้ทำงานยังไง มันก็ทำอะไรไม่ได้ เทียบกับบางคนเรียนจบไม่สูงแต่ทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว เขาก็เป็นคนที่ใครๆ ก็อยากไปขอความรู้จากเขา” เธอทิ้งท้ายว่า “ดังนั้น แก๊งค์มองว่าความรู้คือสิ่งที่สำคัญที่ของการศึกษา ไม่ใช่วุฒิการศึกษา