ถ้าเป็นเสียงคอลเซ็นเตอร์จากองค์กรใดสักแห่งในประเทศ โทรมาบอกว่าให้จ่ายเงิน ก็อาจจะมีคนนึกถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรมาหลอกให้โอนเงิน แต่ถ้าสายนั้นเป็นเสียงของลูกเราขอความช่วยเหลือล่ะ ใครจะปฏิเสธ?
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วในประเทศแคนาดา โดยมีคู่รักถูกหลอกเอาเงินไปถึง 21,000 ดอลลาร์แคนาดา (ประมาณ 533,000 บาท) หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่มีเสียงเหมือนกับลูกชายของทั้งคู่
เบนจามิน เพอร์กิน (Benjamin Perkin) ลูกชายของคู่รักดังกล่าวให้สัมภาษณ์ว่า คนร้ายใช้ AI สร้างเสียงที่เหมือนกับเสียงของเขามากๆ เพื่อไปหลอกขอเงินจากคนรอบตัวเขา ส่วนเสียงที่ว่านั้นเหมือนจริงแค่ไหนนั้น ก็เหมือนถึงขนาดที่พ่อแม่เชื่อไปแล้วว่ากำลังคุยกับลูกชายอยู่จริงๆ
หลังจากวางสายจากลูกชายปลอมๆ ก็มีบุคคลที่อ้างว่าเป็นทนายความโทรหาพ่อแม่ของเขาอีกครั้ง พร้อมบอกพ่อแม่ว่าเพอร์กินต้องการเงิน ประมาณ 533,000 บาท บาท สำหรับค่าธรรมเนียมทางกฎหมายก่อนขึ้นศาล เนื่องจากลูกชายของพวกเขาถูกจำคุกในข้อหาฆ่านักการทูตในอุบัติเหตุทางรถยนต์
เมื่อฟังเรื่องราวดังกล่าวจากนักต้มตุ๋น พ่อแม่ของเขาจึงรีบรวบรวมเงินสดแล้วส่งเงินให้นักต้มตุ๋นผ่านทาง Bitcoin
พวกเขาตระหนักถึงความแปลกนี้หลังจากที่ส่งเงินทั้งหมดไป แล้วจึงรู้ตัวว่าถูกหลอกหลังจาลูกชายตัวจริง โทรไปหาในเย็นวันนั้น แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เพราะพวกเขาไม่สามารถนำเงินนั้นกลับมาได้อีก
เพอร์กินระบุว่า เขาไม่ทราบว่านักต้มตุ๋นเจอเสียงของเขาได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะเคยลงคลิปวิดีโอที่พูดถึงงานอดิเรกของเขาบนยูทูบ
อย่างไรก็ตาม แฮนี่ แฟริด (Hany Farid) ศาสตราจารย์ด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัลในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California at Berkeley) ระบุว่า ในตอนนี้เพียงแค่คุณลงคลิปใน TikTok ที่ได้ยินเสียงของคุณเพียง 30 วินาที คุณก็สามารถถูกโคลนเสียงได้แล้ว
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (FTC) รายงานว่า การเพิ่มขึ้นของเครื่องมือ AI มีจำนวนใกล้เคียงกับการเพิ่มขึ้นของการหลอกลวง ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่แอบอ้างเป็นบุคคลอื่น โดยที่พบบ่อยที่สุดในปีที่แล้ว คือการปลอมเสียงเป็นใครบางคน
นอกจากนี้ วิลล์ แม็กสัน (Will Maxson) ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกแนวทางปฏิบัติทางการตลาดของ FTC ยังกล่าวว่าการติดตามนักต้มตุ๋นที่หลอกโดยใช้เสียปลอมเป็นเรื่องยาก เพราะพวกเขาสามารถใช้โทรศัพท์โทรจากที่ไหนก็ได้ในโลก จึงยากที่จะระบุว่าหน่วยงานไหนควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ
แม็กสันแนะนำว่า หากคนที่คุณรักบอกว่าพวกเขาต้องการเงิน ให้พักการคุยกับคนในสายนั้นไว้ก่อน แล้วลองโทรหาสมาชิกในครอบครัวอีกที นอกจากนี้ หากมีสายที่น่าสงสัยมาจากหมายเลขของสมาชิกในครอบครัว ก็อยากให้เข้าใจว่าเบอร์โทรก็สามารถปลอมแปลงได้เช่นกัน และอย่าจ่ายเงินให้คนอื่นด้วยบัตรของขวัญ และให้ระวังการให้เงินสดใดๆ เพราะมันติดตามยาก
อย่างไรก็ดี อีวา เวลาสเกซ (Eva Velasquez) ผู้บริหารระดับสูงของ Identity Theft Resource Center องค์การไม่แสวงหาผลกำไร กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะบังคับใช้กฎหมายในการติดตามโจรที่ใช้การปลอมแปลงเสียง อีกทั้งกรมตำรวจอาจมีเงินและพนักงานไม่เพียงพอที่จะให้ทุนแก่หน่วยงานเพื่อติดตามการหลอกลวงประเภทนี้
อ้างอิงจาก