ภายหลังปิดหีบเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (23 กรกฎาคม) พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party หรือ CPP) ของ ‘ฮุน เซน’ (Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชาวัย 70 ปี ที่อยู่ในอำนาจมาแล้ว 38 ปี ก็ประกาศชัยชนะขาดลอยแบบ ‘แลนด์สไลด์’ แม้จะไม่มีพรรคคู่แข่งอย่างสมน้ำสมเนื้อใดๆ ในการเลือกตั้งครั้งนี้เลยก็ตาม
“เราชนะแบบแลนด์สไลด์” โสก อายสาน (Sok Eysan) โฆษกพรรค CPP ประกาศ
คณะกรรมการการเลือกตั้งกัมพูชา (National Election Committee) เผยว่า มีคนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 84.58% จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 9,710,655 คนทั่วประเทศ ขณะที่ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นคาดว่า พรรค CPP ของ ฮุน เซน จะกวาดที่นั่งในรัฐสภาส่วนใหญ่ได้เกือบทั้งหมด 125 ที่นั่ง
แต่ที่น่าสนใจและเป็นที่จับตามองทั่วโลกสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ หลังจากครองอำนาจมาแล้วเกือบ 4 ทศวรรษ คาดว่า ฮุน เซน จะใช้การเลือกตั้งเพื่อปูทางสู่อำนาจของ ‘ฮุน มาเนต’ (Hun Manet) ลูกชายคนโตวัย 45 ปี ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพกัมพูชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่
น่าแปลกใจไหมที่พรรค CPP ชนะการเลือกตั้งที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่า ‘ไม่เสรี’ และ ‘ไม่เป็นธรรม’? ฮุน เซน ทำอย่างไรถึงได้รับชัยชนะแบบแลนด์สไลด์? และการเลือกตั้งครั้งนี้จะปูทางไปสู่อำนาจของลูกชายนามว่า ฮุน มาเนต ได้อย่างไร? The MATTER ทั้งหมดอธิบายไว้ในโพสต์นี้
แลนด์สไลด์พรรค ฮุน เซน: ชัยชนะที่ “ไม่เกินคาดหมาย”
การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา คือการเลือกตั้งเพื่อเลือกสมาชิกรัฐสภา (National Assembly) จำนวน 125 ที่นั่งของกัมพูชา ซึ่งสหพันธ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติ (FIDH) ก็ขนานนามการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า จะนำมาสู่ “ผลลัพธ์ที่ไม่เกินคาดหมาย จากกระบวนการที่ไม่ชอบธรรม”
ไม่ชอบธรรมอย่างไรบ้าง? และมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ที่ปูทางสู่แลนด์สไลด์ของพรรค CPP? มีหลายปัจจัยให้พิจารณา
ประการแรกที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ กรณีที่ กกต.กัมพูชา ตัดสิทธิเลือกตั้งของพรรคการเมืองฝ่ายค้านหลัก เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม คือ พรรคแสงเทียน (Candlelight Party) ที่ก่อตั้งโดย สม รังสี (Sam Rainsy) ด้วยการอ้างเหตุผลว่ายื่นเอกสารไม่ครบ ทำให้พรรค CPP ของ ฮุน เซน ได้กลายเป็นพรรคใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในการเลือกตั้งไปเสียอย่างนั้น
ขณะที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มี 18 พรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็มีเพียงพรรค CPP เท่านั้นที่จะใหญ่พอจนกวาดที่นั่งแทบทั้งหมดในรัฐสภาได้ อีก 17 พรรคที่เหลือก็ไม่ได้มีแรงสนับสนุนที่มากพอจะท้าทาย CPP – เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แลนด์สไลด์ของ CPP “ไม่เกินคาดหมาย”
อีกหนึ่งเหตุผลรองรับ คือ กกต. หรือ NEC ที่ไม่เป็นกลาง แต่กลับมีผู้นำองค์กรที่มาจากสมาชิกกรรมาธิการกลางของพรรค CPP เสียเอง มีหลายเหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นกลางนี้ เช่นการตัดสิทธิพรรคแสงเทียนที่กล่าวไปแล้ว หรือการเล่นงานสมาชิกพรรคแสงเทียนต่างๆ นาๆ เช่น ฟ้องหมื่นประมาทรองประธานพรรคแสงเทียน
ตามมาด้วยการจับกุมคู่แข่ง นักเคลื่อนไหว หรือผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน ที่เป็นข่าวให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ในช่วงเดือนก่อนถึงวันเลือกตั้ง หรือแม้ในวันเลือกตั้งเอง ก็มีการจับกุมโหวตเตอร์ฝ่ายค้านบางส่วนในข้อหาปลุกระดมให้ทำบัตรเสีย เป็นต้น และที่เป็นข่าวใหญ่ที่สุด คือ กรณีศาลสั่ง ‘เขม โสกา’ (Kem Sokha) ผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัญ ให้กักบริเวณในบ้านเป็นเวลา 17 ปี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ประกอบด้วยอีกหนึ่งปัจจัย คือ การปิดกั้นช่องทางการสื่อสาร อย่างเช่น การสั่งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบล็อกเว็บไซต์ข่าวและข้อมูลอิสระหลายแห่ง กรณีที่ทั่วโลกให้การจับตาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คือการสั่งปิด ‘Voice of Democracy’ หรือ ‘VOD’ หนึ่งในสำนักข่าวอิสระไม่กี่แห่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในประเทศ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถึงขนาดทำให้ โซฟาล เอีย (Sophal Ear) นักรัฐศาสตร์ชาวกัมพูชาชื่อดัง จากมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times เปรียบเทียบว่า การโกงการเลือกตั้งของ ฮุน เซน ก็ไม่ต่างอะไรกับการจัดงานซีเกมส์ (SEA Games) ครั้งล่าสุดที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ และกวาดเหรียญทองไปได้มากมาย
ขณะที่องค์กร ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) แถลงก่อนการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า “การเลือกตั้งที่จะถึงนี้แทบไม่มีความเป็นกระบวนการประชาธิปไตยใดๆ”
ปูทางลูกชาย ‘ฮุน มาเนต’ สู่เก้าอี้นายกฯ
ถ้าถามว่าอะไรเป็นที่จับตามองมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คงจะพอตอบได้ว่า การเลือกครั้งนี้คือการเปลี่ยนผ่านอำนาจจาก ฮุน เซน ไปสู่ ฮุน มาเนต ลูกชายคนโตในวัย 45 ปี
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2021 เมื่อ ฮุน เซน ประกาศเลือกลูกชายคนโตเป็นผู้สืบทอดอำนาจผู้นำกัมพูชาของเขา ขณะที่พรรค CPP ก็สนับสนุนโดยระบุว่า ฮุน มาเนต คือ “นายกรัฐมนตรีในอนาคต” และในการเลือกตั้งล่าสุด ฮุน มาเนต ก็ได้ที่นั่งในรัฐสภาด้วย จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่า เป็นไปได้อย่างสูงที่เขาจะเป็นนายกฯ คนต่อไป
อย่างไรก็ดี ยังไม่แน่ชัดเรื่องช่วงเวลาว่า ฮุน มาเนต จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ เมื่อไหร่ แต่ ฮุน เซน ก็ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (20 กรกฎาคม) ทางช่อง Phoenix TV ของจีน ว่า “ภายใน 3-4 สัปดาห์” ขึ้นอยู่กับว่า “ฮุน มาเนต จะทำได้หรือไม่”
สำหรับ ฮุน มาเนต เกิดเมื่อปี 1977 มีปูมหลังการศึกษามาจากตะวันตก จบจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ในสหรัฐฯ เมื่อปี 1999 จบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กเมื่อปี 2002 และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ เมื่อปี 2008
ที่ผ่านมา ฮุน มาเนต ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองมากนัก แต่ไต่เต้ายศทางการทหารมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันเป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพกัมพูชา มักจะสร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นคนมีอัธยาศัยดีผ่านทางโซเชียลมีเดียและช่องทางสื่อสารอื่นๆ ต่างจากพ่อของตัวเองที่มีภาพลักษณ์เป็นผู้นำที่แข็งกร้าว
ด้วยความเป็นไปได้สูงที่ ฮุน มาเนต จะได้สืบทอดอำนาจต่อจากพ่อตัวเอง ทำให้ BBC ถึงกับชี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้รู้สึกเหมือนเป็น ‘พิธีบรมราชาภิเษก’ (coronation) มากกว่า ‘การเลือกตั้ง’ (coronation) เลยทีเดียว ขณะที่ The New York Times ชี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็น ‘ราชวงศ์’ ของการสืบทอดอำนาจดังกล่าว
ฮุน เซน ถึงกับเคยกล่าวกับพรรคของเขาเมื่อปีที่แล้วว่า “ผมจะเป็นพ่อของนายกฯ ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป และจะเป็นปู่ของนายกฯ ในทศวรรษ 2030”
นั่นทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า ฮุน เซน จะคงอยู่ในอำนาจต่อไป โดยควบคุมจากเบื้องหลัง แม้ไม่แน่นอนว่า ฮุน มาเนต จะเป็นผู้นำแบบไหน หรือจะเข้าหาตะวันตกมากขึ้นหรือไม่ (จากปูมหลังที่ใกล้ชิดกับตะวันตก) แต่ก็มีการคาดการณ์กันว่า การออกนโยบายต่อไปในอนาคตคงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
แอสทริด นอเรน-นิลส์สัน (Astrid Norén-Nilsson) ผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชาจากมหาวิทยาลัยลุนด์ในสวีเดน กล่าวว่า “ดิฉันไม่คิดว่า คนจะวิเคราะห์ว่า ฮุน เซน จะหายไปเลย หลัง ฮุน มาเนต เป็นนายกฯ” และแสดงความเห็นว่า “พวกเขาน่าจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และดิฉันไม่คิดว่าจะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในด้านมุมมองทางการเมืองของพวกเขา รวมถึงนโยบายต่างประเทศด้วย”
ขณะที่ โซฟาล เอีย วิเคราะห์ว่า การส่งต่ออำนาจครั้งนี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ ‘วิน-วิน’ สำหรับ ฮุน เซน เพราะ “เขาสามารถกำจัดการจับตามองของตะวันตก ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในเอเชีย และอาจจะในโลกด้วย … แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย – เขาจะยังอยู่ในอำนาจ เพียงแต่อยู่ในเบื้องหลัง”
ขณะที่ฝ่ายที่พ่ายแพ้ ก็คงจะเป็นประชาชนกัมพูชา และระบอบประชาธิปไตยของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้
อ้างอิงจาก