“ในประวัติศาสตร์ รวมถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ การล่าหัวเป็นพฤติกรรมที่รุนแรง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งส่วนตัวหรือภาวะสงคราม” Qian Wang หนึ่งในทีมวิจัย และศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ในสหรัฐอเมริกากล่าว
งานวิจัยที่ตีดิมพ์ลงในวารสาร Archaeological and Anthropological Sciences ระบุว่าหลุมฝังศพไร้หัวอายุ 4,100 ปีที่พบในประเทศจีนเมื่อทศวรรษ 1990 (มีการขุมหลุมนี้ซ้ำถึง 6 ครั้ง) ถือเป็นเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีตัดหัวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เอเชียยุคหินใหม่
หลุมฝังศพดังกล่าวถูกค้นพบในหมูบ้านฮองเฮย์ มณฑลเฮย์หลงเจียง ประเทศจีน หลังจากการขุดซ้ำถึง 6 ครั้ง พวกเขาค้นพบโครงกระดูกของผู้เสียชีวิตทั้งหมด 68 ราย จากทั้งหมดนั้นมี 43 รายที่ไร้กะโหลกศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอ ซึ่งทำให้ทีมนักวิจัยเชื่อว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกฆ่าตัดหัวด้วยของมีคมจากทางด้านหน้า และยังพบว่า 32 รายจากทั้งหมดนี้ถูกฆ่าพร้อมกันในเหตุการณ์ครั้งเดียวกัน
ถึงแม้พวกเขายังไม่สามารถระบุรายละเอียดของการต่อสู้ได้ แต่จากข้อมูลที่มี ชาวหมู่บ้านฮองเฮย์ประกอบหลากหลายอาชีพทั้ง เกษตรกรรม, ตกปลา รวมถึงเข้าป่าล่าสัตว์ จึงสันนิษฐานได้ว่าเหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นจากการขัดแย้งเรื่องทรัพยากร
จากหลักฐานที่พบยังทำให้พวกเขาเชื่ออีกว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรอคอยให้ผู้ชายออกจากหมู่บ้านไปหมดเสียก่อน ก่อนบุกเข้าไปเพื่อตัดหัวเด็กและผู้หญิงในหมู่บ้านแห่งนี้ และเมื่อกลุ่มผู้ชายเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้าน พวกเขาก็ฝังศพเหล่านั้นและย้ายออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ในทันที
Qian Wang ระบุกับนิตยสาร livescience ว่า การตัดหัวเช่นนี้มีนัยยะที่แสดงถึงชัยชนะ และการยึดพลังงานหรือวิญญาณของศัตรูอีกฝั่ง เขากล่าวต่อว่านี่เป็นหลุมศพไร้หัวหลุมแรกในยุคหินใหม่ที่ถูกพบในจีน
นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยพบหลุมศพแบบนี้มาก่อนในจีน แต่เคยพบหลุมศพคล้ายกันนี้ในแถบทะเลสาบบอลข่าน ทางตะวันออกของไซบีเรีย ซึ่งมีวัฒนธรรมการเข้าป่าล่าสัตว์และตกปลาคล้ายกับผู้เคยอาศัยในหมู่บ้านฮองเฮย์
ทั้งนี้ การตัดหัวมีบทบทสำคัญมาตลอดประวัติศาสตร์จีน ในสมัยราชวงศ์ชาง (ประมาณ 1600 – 1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เชื่อว่าศีรษะมนุษย์เป็นสิ่งล้ำค่า และวิญญาณที่ไร้หัวจะไม่สามารถตามมาแก้แค้นได้หลังเสียชีวิตไปแล้ว
อ้างอิงจาก:
https://link.springer.com/article/10.1007/s12520-023-01845-x