ไม่ว่าจะเปิดข่าวต่างประเทศของสำนักไหนก็มักจะเจอใบหน้าของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่อยู่บนหน้าฟีดด้วยประเด็นใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจนปัจจุบันทรัมป์ได้โชว์ฟอร์มลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเกือบร้อยฉบับ และแน่นอนว่ามันมีผลที่ตามมาในทุกฉบับ
ซึ่งสิ่งที่ต้องจับตาและส่งผลกระทบต่อมนุษย์ที่สุด คงหนีไม่พ้นคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘สิทธิมนุษยชน’ ที่ในเวลานี้ไม่ใช่แค่ชาวอเมริกันเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ The MATTER ไล่เรียงคำสั่งทรัมป์ที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนทั้งคนในและนอกประเทศให้อ่านกัน
- เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 วันแรกที่ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว เขาได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารแบบรวดเดียว 78 ฉบับ และได้เพิกถอนคำสั่งของโจ ไบเดน (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ) เพื่อให้อำนาจทั้งหมดเป็นของรัฐบาลเขาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในขณะที่จรดปากกาเพื่อลงลายเซ็นในการทำงานวันแรก ทรัมป์ได้สั่งให้ทีมงานถ่ายทอดสดวินาทีเหล่านั้นให้กับเหล่าแฟนคลับที่ให้กำลังใจอยู่ในสนามกีฬาได้ดูกันแบบสดๆ ด้วย
- คำสั่งฉบับที่โดนวิพากษ์วิจารณ์หนักที่สุดในช่วงแรก คงหนีไม่พ้นการกำหนดให้มีเพศแค่ 2 เพศ (หญิงกับชาย) เท่านั้น และการตัดงบสนับสนุนเกี่ยวกับบุคคลข้ามเพศ การห้ามคนข้ามเพศแข่งกีฬาประเภทหญิง และนโยบายเพื่อความเท่าเทียม (DEI)
- ขณะที่ในคำสั่งที่เขาลงนามมีฉบับหนึ่ง มุ่งเน้นไปที่ ‘เด็ก’ คนใดก็ตามที่เกิดในสหรัฐฯ และจะได้รับสัญชาติแบบอัตโนมัติ ซึ่งเขาได้ให้คำนิยาม ‘พลเมืองโดยกำเนิด’ ใหม่ เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กบางคนเป็นผู้ที่อพยพเข้ามาแบบผิดกฎหมาย
- ต่อมาเขาได้สั่งระงับโครงการตั้งถิ่นฐานต่างๆ ของผู้ลี้ภัยเข้ามาในสหรัฐฯ รวมถึงระงับโครงการช่วยเหลือต่างๆ และให้เหตุผลว่าจะไปพิจารณาดูก่อนว่ามันสอดคล้องกับนโยบายหาเสียงของเขาที่ว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน (America First)’ หรือไม่
- โดยนโยบายนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงประเทศต่างๆ ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เช่น ประเทศไทยด้วย โดยคำสั่งดังกล่าวทำให้โรงพยาบาล 7 แห่งในพื้นที่ศูนย์พักพิงผู้หนีภัยการสู้รบชายแดนไทย-เมียนมาต้องปิดตัว ทำให้ต้องขนย้ายผู้ป่วยไปรักษาที่อื่น
- ด้านองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนอย่าง Human Rights Watch ออกมาบอกว่า คำสั่งดังกล่าวได้สร้างผลกระทบในวงกว้าง และคุกคามสิทธิของผู้คนทั่วสหรัฐฯ และทั่วโลก โดยเฉพาะกับประชากรที่ด้อยโอกาส และเปราะบาง ซึ่งรวมถึงผู้ลี้ภัยที่างคนผ่านกระบวนการทุกอย่างแล้ว แต่สุดท้ายถูกกีดกันไม่ให้เข้าประเทศ
- ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้อนุมัติการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และอัยการสูงสุด คาริม ข่าน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ (UN) ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวและบอกว่าเป็นการโจมตีหลักนิติธรรมระดับโลกที่บ่อนทำลายความยุติธรรมระหว่างประเทศ
- นอกจากคำสั่งต่างๆ ที่รุนแรงแล้ว ก็ยังมีความเห็นที่ร้อนแรงและกลายเป็นที่ถกเถียงด้วยเช่นกัน จากการที่ทรัมป์พูดถึงสถานการณ์ในฉนวนกาซา โดยบอกว่าสหรัฐฯ จะเข้ายึดพื้นที่และบอกว่ากาซาเป็นพื้นที่อสังหาฯ ขนาดใหญ่ ในขณะที่รายงานของ UN บอกว่า สงครามทำให้ชาวกาซากว่า 90% ต้องอพยพออกจากบ้านของพวกเขา และย้ายถิ่นฐานอยู่ซ้ำๆ
- จนเมื่อเดือนมีนาคม สหรัฐฯ ถูกเพิ่มเข้าในรายชื่อเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านสิทธิมนุษยชนจากการกระทำต่างๆ ของทรัมป์ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดย CIVICUS (องค์กรไม่แสวงหากำไรระดับโลก) ซึ่งระบุว่า คำสั่งที่เข้มงวด-ลดงบแบบไม่มีเหตุผล และการข่มขู่ต่างๆ กำลังเริ่มปิดปากชาวอเมริกันที่เคยถกเถียงจากการเห็นต่าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐฯ ให้เงียบลงเรื่อยๆ
- ในเดือนเดียวกันนี้ ทรัมป์ได้ตัดทอนรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศออก โดยตัดเนื้อหาบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้หญิง คนพิการ ชุมชนของ LGBTQIA+ และอื่นๆ โดยเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่า เพื่อลดเนื้อหาให้เบาบางลงและเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด
- นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเลิกจ้างพนักงานรัฐแบบฟ้าฝ่า โดยการสั่งพักงาน-ปิดกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ ทำให้มีพนักงานที่ตกงานทันทีกว่า 1,300 คน โดยทรัมป์อ้างว่า จะคืนอำนาจเหล่านั้นให้แต่ละรัฐไปดูแลกันเอง ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับพนักงานรัฐเหล่านั้น
- ไม่เพียงแต่พนักงานรัฐเท่านั้นที่โดนฤทธิ์ทรัมป์ แต่นักข่าวในทำเนียบขาวก็โดนเช่นกัน โดยประกาศว่าจะไม่ตอบคำถามทางอีเมลของผู้ที่ใส่ Pronouns เช่น He/him, She/her, They/them ในท้ายอีเมล ซึ่งทรัมป์เชื่อว่าเป็นอุดมการณ์ทางเพศที่ผิด
- และล่าสุดช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศระงับเงินสนับสนุนรัฐบาลมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ที่จัดสรรให้กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังจากที่มีการปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัฐบาล ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการไม่ส่งเสริมการต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัย และการประท้วงสนับสนุนชาวปาเลสไตน์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทรัมป์ได้ทำเพราะเชื่อว่าจะ ‘ยกเครื่อง’ อเมริกา กลับทำให้ประชาชนจำนวนมากทั่วสหรัฐฯ ออกมารวมตัวกันตามเมืองต่างๆ เพื่อประท้วงต่อต้านทรัมป์รวมถึงมัสก์ด้วย โดยกลุ่มที่จัดการประท้วงบอกว่า มีคนเกินครึ่งล้านที่ทยอยออกมาแสดงความไม่พอใจผ่านการเดินขบวนและชูแผ่นป้ายขับไล่ ซึ่งก็ยังคงมีการนัดรวมตัวกันจนถึงทุกวันนี้ทั้งในประเทศและตามสถานที่ต่างๆ ในต่างประเทศด้วย