วันนี้ เป็นวันครบรอบ 73 ปี การทิ้งระเบิดปรมาณู ‘Little Boy’ ของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ลงที่เมืองฮิโรชิมา โดยมีการจัดงานระลึกที่บริเวณสวน Peace Memorial Park ก่อนจะมีการไว้อาลัยในเวลา 8 โมง 15 นาที ซึ่งเป็นเวลาของการทิ้งระเบิดเมื่อปี 1945 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 140,000 คน ในช่วงปีนั้น
ในงานวันนี้ นายกเทศมนตรีของฮิโรชิมา Kazumi Matsui ได้ออกมาเรียกร้อง ให้ทั้งโลกปลอดการใช้อาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเข้าร่วมสนธิสัญญาแบนอาวุธนิวเคลียร์กับทั่วโลกด้วย ที่ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีความคืบหน้าในการลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ยังคงมีปัญหา และความตึงเครียดที่เคยเห็นในช่วงสงครามเย็น ที่มาจากนโยบาย หรือการดำเนินงานของผู้นำประเทศมหาอำนาจ
“ถ้ามนุษย์ลืมประวัติศาสตร์หรือหยุดเผชิญหน้ากับมัน เราก็สามารถกระทำผิดพลาดได้อีกครั้ง” ทั้ง “ด้วยยังคงมีขีปนาวุธกว่า 14,000 ลูกอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่สิ่งที่เกิดขึ้นในฮิโรชิมา จะกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าด้วยเจตนาหรืออุบัติเหตุ” Matsui กล่าวในงานระลึก พร้อมเสริมว่าญี่ปุ่นควรเป็นผู้นำในประเทศต่างๆ ให้นำไปสู่ การเจรจาและร่วมมือกันในโลกที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์”
นอกจากนายกเทศมนตรีแล้ว Shinzo Abe นายกฯ ของญี่ปุ่น ก็ได้เข้าร่วมงานนี้ และให้คำมั่นสัญญาว่า “การรักษา 3 หลักการที่ไม่ใช้นิวเคลียร์ของเรา ในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ และไม่มี เป็นหน้าที่ของญี่ปุ่นในฐานะประเทศเดียวที่ถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงสงคราม ในการทำงานอย่างหนักเพื่อแสวงหาโลกที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์”
จากการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม จำนวนของ hibakusha หรือเหยื่อจากปรมาณูในฮิโรชิมาและนางาซิกิ จำนวน 154,859 ราย ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 82 ปี
Tomie Makita ชาวเมืองฮิโรชิมาวัย 88 ปี เข้าร่วมงานระลึกถึงเหตุการณ์นี้ในทุกๆ ปี เพื่อระลึกถึงการสูญเสียเพื่อนเล่าว่า การทิ้งระเบิดเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาก และเธอต้องการแบ่งปันประสบการณ์ให้ลูกหลาน เช่นเดียวกับ Yoshinobu Ota วัย 71 ปี ที่แม้จะเกิดหลังเหตุการณ์ทิ้งระเบิด แต่เขาก็ได้รับผลกระทบโดยตรง จากการดูแลคุณแม่ที่สูญเสียสายตาจากถูกเผาอย่างรุนแรงของระเบิด “ตราบเท่าที่ยังมีประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาสามารถใช้เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ ผมอยากให้ญี่ปุ่นทำงานเพื่อกำจัดอาวุธนิวเคลียร์”
https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/20180806_22/
#Brief #TheMATTER
