“ค้างชำระ จนค่าทวงถามหนี้เกินค่าของที่ซื้อแล้ว”
“ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย”
หลากหลายปัญหาและคำถาม จากการใช้บริการ ‘Pay Later’ ทางเลือกยอดนิยมสำหรับนักช้อปออนไลน์ในปัจจุบัน ด้วยความสะดวกสบายที่สามารถซื้อสินค้าได้ก่อน แล้วค่อยชำระเงินคืนในภายหลัง แต่เมื่อกดใช้เพลินตลอดเดือน บิลรวมออกมาบางทีก็เยอะจนจ่ายไม่ไหว กลายเป็นภาระหนี้ตามติดตัวที่ดอกเบี้ยแพงขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้จะจัดการอย่างไรหมด
The MATTER จึงขอชวนไปทำความเข้าใจระบบ ‘Pay Later’ ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจวิธีใช้ ข้อควรระวัง และไม่ก่อหนี้ที่จ่ายไม่ไหวในท้ายที่สุด
ใช้แล้วไม่จ่ายคืน จะเป็นอะไรไหม?
ตอบแบบสั้นๆ ได้เลยว่า “เป็น”
Pay Later หมายถึง ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง นั่นแปลว่าถ้าใช้แล้วก็จำเป็นต้องจ่ายคืนอย่างไม่มีเงื่อนไข และหากผิดนัดชำระหนี้ตามกำหนด ก็อาจมีผลตามมา ไม่ว่าจะเป็น
- ถูกระงับบัญชีผู้ใช้ในแอป ทำให้ไม่สามารถใช้บริการ Pay Later เพิ่มอีกได้ หรืออาจถูกระงับการใช้ฟังก์ชันอื่นๆ ในแอปพลิเคชัน
- ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจากบริษัทเจ้าของสินเชื่อ หากยอดค้างชำระมีจำนวนมากและค้างชำระเป็นเวลานาน บริษัทเจ้าของสินเชื่อมีสิทธิที่จะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกคืนหนี้ได้
- เสียดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้: โดยทั่วไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะสูงกว่าดอกเบี้ยปกติ ซึ่งอาจอยู่ที่ 15-25% ต่อปี ทำให้หนี้ยิ่งบานปลาย
- ถูกเก็บค่าทวงถามหนี้ นอกจากดอกเบี้ยผิดนัดแล้ว ยังอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนของการติดตามทวงถามหนี้ ซึ่งจะเพิ่มภาระให้กับลูกหนี้มากขึ้นไปอีก โดยทั่วไป หากยอดค้างชำระเกิน 1,000 บาทในงวดแรก จะมีค่าทวงถามหนี้ 50 บาท และในรอบการทวงถามหนี้ต่อๆ ไป จะถูกเก็บเพิ่มงวดละ 100 บาท ดังนั้น หากปล่อยให้ค้างชำระนานถึง 1 ปี อาจต้องเสียค่าทวงถามหนี้รวมสูงถึง 1,150 บาท
ทั้งนี้ คนที่อาจกังวลว่าจะติดเครดิตบูโรไหม ก็สบายใจได้ เพราะปัจจุบัน สินเชื่อจากแอปพลิเคชันซื้อขายออนไลน์ยอดนิยมอย่าง ‘แอปฯ ส้ม’ และ ‘แอปฯ ฟ้า’ ยังไม่ได้เข้าร่วมระบบเครดิตบูโร แต่ก็เริ่มมีการนำข้อมูลเครดิตบูโรมาพิจารณาในการอนุมัติสินเชื่อแล้ว ซึ่งทำให้คนบางส่วนเห็นว่า อาจมีโอกาสที่สินเชื่อจากแอปออนไลน์เหล่านี้จะเข้าร่วมเครดิตบูโรในอนาคต
ดอกเบี้ย และเงื่อนไขที่ต้องรู้
โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อ Pay Later จะอยู่ที่ ไม่เกิน 15-25% ต่อปี และคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ซึ่งหมายความว่าดอกเบี้ยจะคำนวณจากยอดเงินต้นคงเหลือ ทำให้ภาระดอกเบี้ยลดลงเมื่อมีการชำระคืนเงินต้นแล้ว
เงื่อนไขการชำระคืน มักมีทางเลือกให้ผู้ใช้ คือ
- จ่ายทีหลังใน 1 เดือน ไม่มีดอกเบี้ย
- เลือกชำระคืนแบบผ่อนชำระ 2, 3, 5 หรือ 12 เดือน มีดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด หรืออาจไม่มีดอกเบี้ยหากเป็นช่วงที่มีโปรโมชันพิเศษ
แต่เมื่อบอกอัตราดอกเบี้ยเป็นรายปี และเวลาที่จะกดซื้อของแล้วในแอปโชว์ตัวเลขขึ้นมา ก็อาจจะไม่เห็นภาพว่าจริงๆ แล้วต้องจ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ยเท่าไรกันแน่ หรือดอกเบี้ยนั้นถูกหรือแพงแค่ไหน เราลองมาดูตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นกัน
หากซื้อสินค้าราคา 10,000 บาท และเลือกผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี โดยคิดแบบลดต้นลดดอก เท่ากับว่า ตลอด 12 เดือน เราจะเสียดอกเบี้ยเฉลี่ยรวมประมาณ 1,200 บาทนั่นเอง
ใช้ Pay Later อย่างไร ให้ไม่เป็นหนี้?
- อ่านเงื่อนไขสัญญาทุกครั้ง ทำความเข้าใจรายละเอียดของสัญญาอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการชำระคืน ค่าปรับต่างๆ และเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- วางแผนก่อนใช้ ใช้เท่าที่จ่ายไหว ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองก่อนตัดสินใจใช้บริการ อย่าใช้จ่ายเกินตัว หรือซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น
- ประเมินสถานะการเงิน พิจารณารายรับรายจ่ายของตนเองอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถชำระคืนได้ตามกำหนด
- จ่ายตรงเวลา การชำระคืนตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยผิดนัด ค่าทวงถามหนี้ และผลกระทบต่อเครดิตในอนาคต