เพราะ ‘ความเกลียดชัง’ อาจไม่ใช่คำตอบ
ในสถานการณ์ที่บ้านเรือนและผู้คนเสียหาย บาดเจ็บ ล้มตาย จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ช่วงวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ได้นำมาซึ่งความคิดเห็นและมุมมองที่หลากหลาย หนึ่งในนั้น คือ ‘กระแสความเกลียดชังคนกัมพูชา’ ในประเทศไทย
แม้ยังไม่มีรายงานสถานการณ์ความรุนแรงอย่างเป็นทางการ แต่บนโซเชียลมีเดียได้เกิดกระแสที่ชวนกันตามหาคนกัมพูชาในไทยเพื่อทำร้าย รวมถึงวาทะสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) แบบเหมารวมจำนวนไม่น้อย จนกลายเป็นความกังวลในอีกทิศทางหนึ่ง ว่าจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่มีต้นเหตุจากผู้มีอำนาจ อาจบานปลายเป็นความรุนแรงระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ทั้งที่หลายคนไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้อง
แล้วในสถานการณ์แบบนี้ พวกเรามีทางออกและวิธีการมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง?
ระวังการเสพข้อมูล เพราะ ‘สิ่งที่ตายอย่างแรกในสงครามคือความจริง’
งานวิจัยเรื่องบทบาทของลัทธิชาตินิยมในความรู้และข้อมูลที่ผิดพลาด วิเคราะห์ว่าวาทกรรมชาตินิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองว่า “พวกเรา” ดีกว่า “พวกเขา” (out-group derogation) มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนเข้าใจข้อมูลผิดๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อคนเชื่อมั่นในชาตินิยมของตัวเองมากๆ พวกเขาจะยิ่งมีแนวโน้มที่จะมองหา ตีความ และจดจำเฉพาะข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อเดิมของตนเอง หรือที่เรียกว่า อคติยืนยัน (Confirmation Bias)
การมีอคติยืนยัน จึงอาจนำไปสู่ข้อกังวลในการรับข้อมูลข่าวสารโดยยึดติดกับจุดยืนของตนเอง ดังที่ปรากฏในงานวิจัยเรื่อง ผลกระทบของอคติทางความคิดต่อความน่าเชื่อถือของข่าวปลอม ที่ชี้ว่า โซเชียลมีเดียมี Echo Chambers ที่อัลกริทึมจะทำให้ผู้ใช้มองเห็นเพียงเนื้อหาที่ตอกย้ำมุมมองเดิมเท่านั้น จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ข่าวปลอม (fake news) พัฒนาและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและได้รับความเชื่อถือ
นอกจากนั้น ผู้คนยังอาจขาดความเท่าทันในข้อมูลที่ปรากฏในข่าว ไม่ได้ตรวจสอบหรือคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจเผยแพร่ข่าวนั้นต่อๆ ไป จนอาจเกิดผลเชิงลบกับทั้งตัวบุคคลและสังคม หนึ่งในลักษณะที่เกิดขึ้นได้คือการไม่เปิดรับมุมมองอื่นๆ เลย และมีแนวโน้มที่จะเชื่อเรื่องราวที่ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นปีศาจ กรณีนี้ ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวจึงมักไม่เพียงพอที่จะต่อต้านความเกลียดชัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสื่อมวลชนเองก็มีส่วนร่วมในการสร้างความเกลียดชังเช่นกัน
เราควรทำอย่างไรท่ามกลางกระแสความเกลียดชังที่ก่อตัว
แน่นอนว่าการจัดการกับความเกลียดชังที่ทวีความรุนแรงในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา จำเป็นต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมและประสานงานกันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย แต่สำหรับประชาชนนั้น ประการที่สำคัญเป็นอันดับแรกๆ คือการมีเกราะป้องกันและรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และต้านทานอิทธิพลของข้อมูลบิดเบือนและวาทะสร้างความเกลียดชัง
เมื่อได้รับข้อมูลใดมา อาจเริ่มจากการตั้งคำถามกับข้อมูลที่ได้รับ แสวงหาแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และเป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น รับข่าวสารจากทางการเท่านั้น และอย่าเพิ่งรีบเชื่อหรือแชร์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย โดยหลีกเลี่ยงการใช้วาทะสร้างความเกลียดชัง
และสื่อมวลชน ควรต้องมีบทบาทสำคัญในการช่วยสร้างสันติภาพได้ โดยการทำหน้าที่เป็นช่องทางการสื่อสารหลัก มุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือแก่ทุกฝ่าย และไม่เผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ
เข้าใจรากเหง้าปัญหา และรู้เท่าทันความอันตรายของกระแสชาตินิยม
ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ชี้ว่า “หากกระแสชาตินิยมและกระแสให้ก่อสงครามยังคงถูกปลุกปั่นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการตรวจสอบที่ดีพอ ผลกระทบระยะยาวต่อประเทศไทยจะรุนแรง และซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะคาดคิด”
งานวิจัยที่วิเคราะห์การนำเสนอประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในแบบเรียนประวัติศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า แบบเรียนประวัติศาสตร์ของไทยและกัมพูชาสะท้อนถึงพลวัตที่ซับซ้อนระหว่างอำนาจ ความรู้ และการสร้างอัตลักษณ์ประจำชาติ โดยแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยมักนำเสนอภาพของกัมพูชาในฐานะประเทศที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของไทย และเป็นประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือหลังสงคราม เป็นการสร้างภาพให้เห็นว่าไทยมีบทบาทสำคัญและเป็นผู้ที่เหนือกว่าในภูมิภาค
ในทางกลับกัน แบบเรียนของกัมพูชากลับมองไทย ในฐานะภัยคุกคามต่ออธิปไตย ผู้ที่เคยรุกรานดินแดนในอดีต และผู้ที่เข้าแทรกแซงกิจการภายใน ดังนั้น มุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้จึงมีส่วนทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ และกลายเป็นความอคติและความหวาดระแวง
เช่นเดียวกันกับบทบาทของสื่อมวลชน ใน งานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับภาพตัวแทนแรงงานต่างด้าวในวาทกรรมข่าวหนังสือพิมพ์ไทย วิเคราะห์ว่า ภาษาในข่าวหนังสือพิมพ์ไทย มีส่วนสร้างภาพลักษณ์ของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาในเชิงลบอย่างเด่นชัด เช่น ใช้คำว่าเป็น “ภัยคุกคาม” “ปัญหา” และ “คนอื่น” และเน้นรายงานพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ใช้อุปลักษณ์ที่ทำให้พวกเขากลายเป็น “ภาระ” หรือ “คนที่มีสถานะด้อยกว่าคนไทย ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ ความหวาดระแวง และการขาดความเห็นอกเห็นใจ ทั้งในกลุ่มผู้อ่านและสื่อมวลชนเอง
ล่าสุด สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติได้เผยแพร่ข้อควรปฏิบัติสำหรับสื่อมวลชน ชี้ว่าจะต้องเสนอข้อเท็จจริง ไม่เปิดเผยข้อมูลที่อาจกระทบกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง นำเสนอโดยยึดมั่นหลักมนุษยธรรม
รวมถึงการ ‘พึงแยกแยะระหว่างประชาชนกับรัฐบาล’ ไม่ควรเหมารวมนโยบายของรัฐบาลมาเป็นทัศนคติที่เกลียดชังผู้คนที่ไม่มีส่วนรู้เห็นในความขัดแย้ง
ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความตึงเครียดเช่นนี้ การเลือกที่จะหยุดฟัง ตรวจสอบ และทำความเข้าใจ อาจช่วยลดเชื้อไฟแห่งความเกลียดชัง และช่วยเรามองหาพื้นที่ให้กับการแก้ไขปัญหาด้วยสันติภาพได้มากยิ่งขึ้น
อ้างอิงจาก