ประเด็นข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบร่วมกันแล้วว่าจะยึดแนวทางสันติ จนนำไปสู่การปรับการวางกำลัง ที่แต่ละฝ่ายต่างถอยห่างออกจากจุดปะทะ 200 เมตร พร้อมกับเตรียมหารือกันผ่านการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้
อย่างไรก็ดี ประเด็นว่าด้วยกระแสชาตินิยมก็ยังที่อยู่ท่ามกลางการถกเถียงปมพิพาทดินแดน นำไปสู่คำถามสำคัญว่า เราควรมองกระแสชาตินิยมที่กลับมาในรอบนี้อย่างไร แล้วมันอันตรายอย่างไร? เพื่อคลายข้อสงสัย The MATTER จึงคุยกับ ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต
ทำไมกระแสพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา กลับมาก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
ผมมองว่าการที่กระแสพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชากลับมาปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จเมื่อปลายปี 2566 นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การหยิบฉวยโอกาสทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงจุดอ่อนและท่าทีที่ไม่ชัดเจนของรัฐบาลด้วย
ข้อพิพาทเขตแดนเป็นเรื่องอ่อนไหวและเป็นหัวใจของชาตินิยมไทยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกาะกูด กลุ่มปราสาทตาเมือนธม หรือกรณีการขุดคูเลตที่เนิน 745 (ช่องบก) เหตุการณ์ปะทะหรือความเคลื่อนไหวบริเวณชายแดนใดๆ ก็ตาม สามารถถูกนำมาปลุกเร้าเป็น ‘ภัยคุกคามต่ออธิปไตย’ ได้ทันที
ในบริบทปัจจุบัน การที่พรรคพลังประชารัฐหยิบยกประเด็นเรื่อง MOU 2544 (2001) พร้อมกล่าวว่า ‘เราอาจจะเสียเกาะกูดให้กัมพูชา’ นั้น เป็นการใช้ประเด็นชาตินิยมทางดินแดน เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ลุกลามได้ง่ายขึ้นคือ ท่าทีของรัฐบาลเองที่ดูเหมือนยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนและหนักแน่นในประเด็นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของนายกรัฐมนตรีที่ถูกมองว่า ยังขาดความเชี่ยวชาญและไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับสาธารณะได้ การที่ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตนายกฯ ทักษิณ กับอดีตนายกฯ ฮุน เซน ยังคงถูกจับตาและเป็นที่เคลือบแคลง ก็ยิ่งทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของรัฐบาลถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจ และเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถสร้างวาทกรรม ‘จะขายชาติ’ หรือ ‘ยอมเสียดินแดน’ ได้ง่ายขึ้น เพราะประชาชนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่านโยบายอาจไม่โปร่งใส และผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติที่แท้จริง
ประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้นคือมีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องความสนิทสนมระหว่าง ‘ทักษิณ และ ฮุน เซน’ ที่ทำให้อีลิตเกิดความไม่ไว้วางใจ อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร

ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี cr.Thai PBS
คำถามนี้เป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์พลวัตความขัดแย้งในสังคมไทยอย่างยิ่ง ความสนิทสนมและสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กับอดีตนายกฯ ฮุน เซน ของกัมพูชา เป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้อีลิตไทย โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษนิยมและอำนาจแฝง เกิดความไม่ไว้วางใจอย่างรุนแรงมาโดยตลอด
อีลิตกลุ่มนี้มองว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวเช่นนี้ เป็นการ ‘ข้ามหัว’ กลไกรัฐ และอาจนำไปสู่การ ‘ประนีประนอม’ ในประเด็นผลประโยชน์ของชาติอย่างไม่โปร่งใส หรือแม้กระทั่งการเอื้อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ และยิ่งทำให้ความสัมพันธ์นี้ถูกมองว่า ‘มีลับลมคมใน’ (dodgy) และไม่น่าเชื่อถือ
ความไม่ไว้วางใจนี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในหมู่อีลิตเท่านั้น แต่ถูกนำมาแปลงเป็น ‘กับดักชาตินิยม’ เพื่อดักประชาชน ผ่านการโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง กลุ่มอีลิตและเครือข่ายสื่อของพวกเขาได้สร้างวาทกรรมซ้ำๆ ว่า ‘ทักษิณจะขายชาติ’ หรือ ‘จะยอมเสียดินแดน’ ให้กัมพูชา เพราะมีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ความสนิทสนมส่วนตัวกับฮุน เซน กลายเป็น ‘หลักฐาน’ ที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อตอกย้ำข้อกล่าวหานี้อยู่เสมอ
การปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยมผ่านประเด็นเขตแดน จึงเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการบีบรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับทักษิณ และดิสเครดิตพวกเขาในสายตาประชาชน ความสัมพันธ์ที่ผูกติดกับผลประโยชน์ส่วนตัว และขาดความโปร่งใสนี้เองที่ทำให้ความไว้วางใจในระดับสถาบันถูกบั่นทอน และทำให้การสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนเป็นเรื่องยาก เพราะทุกการกระทำจะถูกมองผ่านเลนส์ของความสงสัย แทนที่จะเป็นความพยายามเพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง และเมื่อผู้นำรัฐบาลเองก็ถูกมองว่าขาดความสามารถและนโยบายไม่ชัดเจน ก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของประชาชนที่ตกอยู่ในกับดักชาตินิยมนี้
คิดว่าอะไรคือผลกระทบระยะยาวของกระแสชาตินิยม
หากกระแสชาตินิยมและกระแสให้ก่อสงครามยังคงถูกปลุกปั่นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการตรวจสอบที่ดีพอ ผลกระทบระยะยาวต่อประเทศไทยจะรุนแรง และซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะคาดคิด
สิ่งแรกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นไทย-กัมพูชา ที่ความขัดแย้งจะร้าวลึก การเจรจาปักปันเขตแดนจะยิ่งเป็นไปได้ยาก ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมตามแนวชายแดนจะหยุดชะงัก หรือเลวร้ายกว่านั้นคืออาจเกิดการปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนี้ ความตึงเครียดระหว่างสมาชิกจะบั่นทอนความเป็นเอกภาพ และบทบาทของอาเซียนในเวทีโลก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาค
ประการต่อมาคือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความตึงเครียดชายแดนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การค้าชายแดนที่เคยคึกคักจะชะลอตัวหรือหยุดชะงัก การท่องเที่ยวจะเสียหาย นักท่องเที่ยวลดลง ซึ่งกระทบต่อภาคส่วนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ที่แย่กว่านั้นคือหากความตึงเครียดยังคงอยู่ ประเทศจะต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมากไปกับการทหารและการป้องกันประเทศ แทนที่จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
สุดท้ายคือ ความแตกแยกภายในสังคมไทย กระแสชาตินิยมที่รุนแรงจะแบ่งผู้คนออกเป็น ‘ผู้รักชาติ’ กับ ‘ผู้ไม่รักชาติ’ หรือ ‘ขายชาติ’ นำไปสู่ความเกลียดชังและไม่ยอมรับความเห็นต่าง ซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย การปลุกปั่นชาตินิยมมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ และสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังหรือมาตรการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

เขาพระวิหาร
และหากอารมณ์ความเกลียดชังถูกจุดติด อาจนำไปสู่ความรุนแรงในระดับประชาชนต่อประชาชน เช่น การทำร้ายร่างกาย การคุกคาม หรือการบอยคอตสินค้า เราได้เห็นผลกระทบเหล่านี้มาแล้วในหลายครั้ง เช่น กรณีเขาพระวิหารปี 2554
ที่นำไปสู่การปะทะตามแนวชายแดน สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง หรือแม้แต่กรณีการเผาทำลายสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญปี 2546 ที่เกิดจากกระแสความโกรธแค้นที่ถูกปลุกปั่นโดยสื่อและนักการเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกปลุกเร้า โดยปราศจากการยั้งคิดสามารถนำไปสู่ความรุนแรงและการทำลายล้างได้อย่างไร
ในการเผาสถานทูตครั้งนั้น ผมยังเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และได้ไปราชการที่กรุงพนมเปญ และติดอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรง แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานทูตตอนถูกเผา แต่ก็ต้องหลบหนี ซ่อนตัว และสุดท้าย ต้องอพยพโดยเครื่องบิน C130 ที่ไทยส่งมารับผู้ติดสถานการณ์ในกัมพูชา
ท่ามกลางความขัดแย้ง ‘สื่อ’ ถูกพูดถึงว่าไม่เป็นกลาง ปลุกกระแสชาตินิยม อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร
ผมมองว่าประเด็นที่สื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ไม่เป็นกลาง’ และ ‘ปลุกกระแสชาตินิยม’ ในข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสื่อไทยเอง
จากงานเขียนของผมหลายชิ้นที่วิเคราะห์ บทบาทของสื่อในการสร้างและรักษากระแสชาตินิยม ผมพบว่าสื่อไทยจำนวนไม่น้อยมักจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ‘วาทกรรมความมั่นคง’ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐและกองทัพมาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ‘อธิปไตยและดินแดน’ สื่อมักจะเลือกใช้ภาษาที่เร้าอารมณ์ ปลุกปั่นความรู้สึกรักชาติ โดยเฉพาะการใช้คำว่า ‘เสียดินแดน’ หรือการนำเสนอภาพความขัดแย้งที่รุนแรง ซึ่งอาจบิดเบือนความเป็นจริง หรือสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความซับซ้อนของปัญหา
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่สื่อจะนำเสนอข้อมูลจากฝ่ายไทยเป็นหลัก หรือให้น้ำหนักกับมุมมองของฝ่ายความมั่นคงมากเกินไป โดยละเลยมิติทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา หรือแม้กระทั่งมุมมองจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่รอบด้านมากขึ้น
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สื่อหลายสำนักขาดการทำหน้าที่ ‘ตรวจสอบ’ ข้อมูลจากภาครัฐอย่างเข้มข้น และมักจะตกเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งทำให้เกิด ‘ความจริงเดียว’ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง การกระทำเช่นนี้ทำให้ประชาชนขาดข้อมูลที่สมดุล ไม่สามารถใช้วิจารณญาณได้อย่างเต็มที่ และถูกชักจูงให้คล้อยตามกระแสชาตินิยมที่อาจนำไปสู่ความเกลียดชัง หรือแม้กระทั่งความรุนแรงได้ในที่สุด
อยากบอกอะไรกับคนที่ต้องการให้มีสงครามเกิดขึ้น

คปท.ชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568
สำหรับผู้ที่รู้สึกอยากให้มีสงคราม ผมอยากจะบอกว่าการตัดสินใจทำสงครามไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และผลลัพธ์ของมันไม่ใช่แค่การ ‘ได้คืนมาซึ่งดินแดน’ ตามที่หลายคนอาจเข้าใจ แต่คือความสูญเสียอันมหาศาลที่ยากจะประเมินค่า ผมอยากให้มองย้อนกลับไปใน ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเขาพระวิหารในปี 2554
ซึ่งมีการปะทะกันอย่างดุเดือดตามแนวชายแดน แม้จะเป็นการสู้รบในวงจำกัด แต่เราก็ได้เห็นถึงชีวิตที่ต้องสูญเสีย ไม่ใช่แค่ทหาร แต่ยังมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเรือน นอกจากนี้ ทรัพย์สินยังเสียหาย บ้านเรือนพังทลาย พื้นที่เกษตรกรรมถูกทิ้งร้าง การลงทุนและเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนหยุดชะงัก ที่สำคัญคือบาดแผลทางจิตใจ ความหวาดกลัว และความเกลียดชังที่ฝังลึกในใจผู้คน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งยากจะเยียวยาให้หายขาด และแน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็จะย่ำแย่ลง
สงครามจะทำลายความพยายามในการสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างสองประเทศที่เราได้สร้างมาอย่างยาวนาน และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระดับภูมิภาคด้วย
การใช้กำลังทางทหารควรเป็นทางเลือกสุดท้าย หลังจากที่เราได้ใช้กลไกทางการทูต การเจรจา และกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเต็มที่แล้ว และต้องมั่นใจว่าการทำสงครามจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าการไม่ทำสงคราม ซึ่งในกรณีของข้อพิพาทชายแดนที่ซับซ้อนเช่นนี้ การทำสงครามไม่น่าจะใช่คำตอบที่ยั่งยืน และอาจจะยิ่งทำให้ปัญหาบานปลายและยากเกินแก้ไข
ทำไมปัญหาแม่น้ำกก-แม่สาย ปนเปื้อนสารพิษ หรือเขื่อนจีน-ลาว ไม่สร้างอารมณ์ร่วมเท่าข้อพิพาทดินแดน?

คปท.ชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568
นี่เป็นคำถามที่สำคัญมาก และสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของชาตินิยมในบริบทไทย จากงานวิชาการของผม ผมพบว่า ชาตินิยมไทยมักจะถูกหล่อหลอมและปลุกเร้าได้ง่ายที่สุดเมื่อเกี่ยวข้องกับ ‘ดินแดน’ และ ‘อธิปไตยเหนือดินแดน’ ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ หรือที่เรียกกันว่า ‘ชาตินิยมทางดินแดน’ (Territorial Nationalism) สิ่งนี้มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์การเสียดินแดน ที่คนไทยจำนวนมากถูกปลูกฝังมาโดยตลอด ทำให้เกิดความรู้สึกสูญเสียและไม่พอใจฝังลึก ดินแดนถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง ศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของชาติ การที่ใครจะมา ‘รุกราน’ หรือ ‘ยึดครอง’
แม้แต่เพียงตารางนิ้วเดียวจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และปลุกความรู้สึกโกรธแค้นได้ง่าย อีกทั้งปัญหาดินแดนค่อนข้างเข้าใจง่าย เพราะมี ‘ผู้กระทำ’ และ ‘ผู้ถูกกระทำ’ ที่ชัดเจน ทำให้สามารถสร้างวาทกรรม ‘เรา-เขา’ ได้ง่าย และสามารถปลุกปั่นอารมณ์ให้คนมาเข้าข้างฝ่ายตนได้ โดยไม่ต้องทำความเข้าใจรายละเอียดที่ซับซ้อน
ในทางกลับกัน ปัญหาเรื่องแม่น้ำปนเปื้อนสารพิษ หรือผลกระทบจากเขื่อนของจีนและลาว แม้จะส่งผลกระทบต่ออธิปไตยทางสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร รวมถึงชีวิตของผู้คนอย่างมหาศาล แต่กลับไม่สร้างอารมณ์ร่วมหรือกระแสชาตินิยมในวงกว้างเท่าที่ควร เพราะปัญหาเหล่านี้มีความซับซ้อนสูง เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และการเจรจาที่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึก คนทั่วไปอาจรู้สึกว่าเข้าใจยากและจับต้องไม่ได้ นอกจากนี้ยังไม่มี ‘ศัตรู’ ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเท่ากับการรุกล้ำชายแดน

ปลาติดเชื้อรุนแรง หลังสารพิษในน้ำแม่กกเกินมาตรฐาน (10 มิถุนายน 2568) cr.สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
การกล่าวโทษประเทศเพื่อนบ้านในการสร้างเขื่อนอาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อน และที่สำคัญคือปัญหาเหล่านี้มักไม่ได้รับการนำเสนอในลักษณะที่ปลุกอารมณ์ หรือสร้างความรู้สึกร่วมทางชาตินิยมเท่ากับประเด็นดินแดน ทำให้ประชาชนไม่ได้ถูกชักจูงให้รู้สึกว่าเป็น ‘ภัยคุกคามต่อชาติ’ อย่างทันทีทันใด
แม้จะกระทบชีวิตจริง แต่ผลกระทบอาจค่อยเป็นค่อยไป หรือไม่ถูกนำเสนอในลักษณะที่ทำให้คนตระหนักถึง ‘อธิปไตย’ ที่กำลังถูกคุกคามในมิติที่กว้างกว่าแค่ดินแดน นี่คือข้อจำกัดของชาตินิยมที่เน้นแต่เรื่องดินแดน ทำให้เราอาจละเลยภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในมิติอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน
อาจารย์มีมุมมองและข้อเสนอแนะ ต่อการรับมือของรัฐบาลไทยอย่างไรบ้าง
ในมุมมองของผม รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีแนวทางการรับมือที่รอบด้านและมีวิสัยทัศน์ เพื่อจัดการกับข้อพิพาทชายแดนและกระแสชาตินิยมที่กำลังปะทุ เรื่องที่ดีแล้ว คือการที่รัฐบาลยังคงเน้นการเจรจาผ่านกลไก JBC (Joint Boundary Commission) และพยายามแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ นี่คือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน และการที่หน่วยงานราชการพยายามให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับหลักเขตแดน สนธิสัญญา และที่มาของปัญหา ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ต้องรีบทำ คือการควบคุมสื่อและข้อมูลที่ไม่รับผิดชอบ รัฐบาลควรมีมาตรการที่ชัดเจนและเด็ดขาดในการจัดการกับสื่อ หรือบุคคลที่จงใจเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ปลุกปั่นความเกลียดชัง หรือส่งเสริมการใช้ความรุนแรง ควรมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างข่าวปลอม หรือการยุยงปลุกปั่นอย่างจริงจัง แต่ต้องระวังไม่ให้กระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกที่ชอบธรรม
พร้อมกันนี้ รัฐบาลควรลงทุนในการให้ข้อมูลที่สมดุล และครบถ้วนแก่ประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่แค่ข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคง แต่รวมถึงมิติทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และมุมมองจากกัมพูชา ควรมีการจัดเวทีเสวนา หรือเผยแพร่เอกสารที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่หลากหลายและสามารถใช้วิจารณญาณได้อย่างถูกต้อง
ส่วนเรื่องที่ต้องรีบปรับปรุงคือการสื่อสารภาครัฐ ซึ่งยังคงเป็นไปในลักษณะ ‘สั่งสอน’ หรือ ‘ชี้นำ’ มากกว่าการ ‘สร้างความเข้าใจ’ ควรปรับปรุงรูปแบบการสื่อสารให้เข้าถึงง่าย น่าสนใจ และสร้างบทสนทนา (dialogue) กับประชาชนมากขึ้น นอกจากนี้ แทนที่จะมองข้อพิพาทเป็นเพียง ‘ปัญหา’ รัฐบาลควรมองว่าเป็น ‘โอกาส’ ในการยกระดับความร่วมมือกับกัมพูชาในมิติต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน
การสร้างผลประโยชน์ร่วมกันจะช่วยลดความตึงเครียดและสร้างบรรยากาศที่ดีในการเจรจา และที่สำคัญคือควรมีการส่งเสริมให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาในมิติที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘การเสียดินแดน’ แต่รวมถึงเรื่องราวการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การค้า และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลดอคติ
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะย้ำว่าประเด็นข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ช่องบก-ตาเมือน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การจะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนนั้นต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ข้อมูลผิวเผิน หรืออารมณ์ความรู้สึกที่ถูกปลุกปั่น ชาตินิยมเป็นพลังที่ทรงอานุภาพ แต่ก็เป็นดาบสองคม หากใช้ไปในทิศทางที่ผิด ก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้ทั้งต่อประเทศชาติและประชาชน
เราต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างความรักชาติที่มาพร้อมกับเหตุผลและวิจารณญาณ กับชาตินิยมที่หลงผิดและนำไปสู่ความเกลียดชัง ในฐานะสื่อมวลชน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการนำเสนอข้อมูลที่สมดุล รอบด้าน และส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้กับสังคม เพื่อที่เราทุกคนจะได้ร่วมกันหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติ และประชาชนอย่างแท้จริง