สวัสดีครับ ทุกท่านที่เมืองไทย ตั้งแต่เปิดต้นปีมาก็เจอเรื่องกระหน่ำแบบรัวๆ แบบที่พี่วิชัยแห่ง Salmon House บอกว่า เปิดปี ค.ศ.2020 5 สัปดาห์แรกต้องปังเลยนะครับ รัวหนักกันมาตลอด ช่วงที่อากาศแย่ๆ PM 2.5 พุ่ง ผมอยู่ที่ญี่ปุ่นนี่ก็ได้แต่ส่งกำลังใจไปช่วย แต่ก็ดูเหมือนว่ากระแส PM 2.5 จะซาลงไป เมื่อข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่กระจายออกไป
ทีแรกผมอยู่ญี่ปุ่นนี่ก็ยังรู้สึกชิลๆ ครับ แม้ข่าวจะออกเยอะ แต่ที่นี่ก็รายงานความคืบหน้าปัญหาในจีน ก่อนที่จะรายงานว่ามีการพบผู้ป่วยที่ไทย ตอนนั้นก็ได้แต่ อืม แล้ว แต่ที่ญี่ปุ่นก็ยังดูไม่อะไรกันมากเท่าไหร่ จนพอเริ่มพบผู้ป่วยที่ญี่ปุ่นเท่านั้นล่ะครับ ก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที
ช่วงที่ยังระบาดแต่ในอู่ฮั่นเป็นหลัก แล้วทางญี่ปุ่นไม่ได้รับผลกระทบอะไร หลักๆ ก็เป็นการรายงานข่าวความคืบหน้า เพราะว่านี่ก็คล้ายกับสถานการณ์ตอน SARS หรือ MERS ที่ถ้าใครเคยผ่านมาแล้วก็คงจะพอจำได้ เพียงแต่ว่า ที่ผมมองว่ารอบนี้แตกต่างจากแต่ก่อนคือ ปริมาณผู้ที่เดินทางไปมาระหว่างประเทศในยุคนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมมาก ยิ่งยุคที่สายการบินโลว์คอสต์เพิ่มมากขนาดนี้ ทำให้มีการเดินทางไปมาระหว่างประเทศสูงขึ้นทุกวัน ความเสี่ยงก็มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างง่ายๆ ก็ดูประเทศญี่ปุ่นที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มจากสมัย SARS ระบาดไม่รู้กี่เท่านะครับ
แน่นอนว่า หนึ่งในสินค้าขายดีในสังคมญี่ปุ่นตอนนี้ก็คือ ‘หน้ากากอนามัย’ นั่นเอง ซึ่งคุณภาพของหน้ากากอนามัยของญี่ปุ่นก็เป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว ชาวไทยเราตั้งแต่เจอ PM 2.5 หนักๆ ก็ได้เห็นแล้วว่าคุณภาพไว้ใจได้แค่ไหน จากที่มีคนหิ้วไปขายช่วงคุณภาพอากาศแย่ๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าหอบหิ้วไปเพราะเชื่อว่าป้องกันไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ได้ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมเดินผ่านร้านขายยาในย่านอิเคะบุคุโระที่โตเกียว ก็เจอชาวจีนหอบหิ้วหน้ากากอนามัยแบบเหมาเท่าที่จะหอบหิ้วได้เดินออกจากร้านกันเป็นกลุ่ม ก็คิดว่า อืม ชาวจีนก็ลำบากนะ แต่พอญี่ปุ่นเริ่มมีคนที่มีอาการ ซึ่งก็เป็นชาวจีนที่กลับมาจากอู่ฮั่น ก็เริ่มเป็นห่วงกันล่ะครับ ผลคือ ตอนนี้อย่าได้หวังว่าจะหาหน้ากากอนามัยแบบที่ใช้ป้องกันการติดต่อได้เลยครับ ร้านใหญ่ๆ ก็หมด แถวบ้านผมก็หมด
ตอนนี้เลยเป็นประเด็นว่า ทางญี่ปุ่นจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร
หลังจากปล่อยให้คนซื้อไปแบบถล่มทลายกันหมดแล้ว
แต่เอาจริงๆ การมีหน้ากากอนามัยก็ช่วยให้อุ่นใจได้ระดับนึง แต่ว่ามันก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นครับ เท่าที่ไล่อ่านและเช็คคำปรึกษาของบุคลากรด้านการแพทย์ สุดท้ายแล้ว หน้ากากก็เหมาะกับคนที่ต้องทำงานกับผู้ป่วยจริงๆ มากกว่า ส่วนคนทั่วไปในสังคมก็ช่วยได้แค่นิดเดียว หน้ากากแบบธรรมดายิ่งมีผลน้อย แบบที่ได้ผลมากๆ อย่าง N95 ถ้าจะใช้ให้ถูกก็คือต้องหายใจไม่สะดวกครับ ซึ่งพอเป็นอย่างนั้นแล้วก็จะทำให้ใช้ชีวิตลำบากขึ้น เปิดหน้ากากมาหายใจเป็นพักๆ และความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มถ้าหากเราไปจับอะไรที่มีเชื้อไวรัสมา แล้วมาจับหน้าส่วนที่หน้ากากปกคลุมอยู่ แล้วใส่หน้ากากอีก ยิ่งทำให้เสี่ยงกว่าเดิมครับ
ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการใช้สามัญสำนึกเหมือนกับป้องกันเวลาไข้หวัดใหญ่ระบาดนั่นล่ะครับ คือ ขยันล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ พยายามใช้เจลแอลกอฮอล หรือสเปรย์แอลกอฮอลร่วม ก็ยิ่งปลอดภัย แน่นอนว่าใครเป็นหวัดก็พยายามใส่หน้ากากเพื่อป้องกันไม่ให้ไปติดคนอื่น จนทำให้ภูมิคุ้มกันคนอื่นอ่อนแอ รวมไปถึงเวลาจามก็ไม่ใช่ใช้มือป้องปาก ที่ควรทำคือ ปิดปากด้วยต้นแขนตัวเองครับ
ส่วนของการเตรียมการของรัฐบาลญี่ปุ่นเท่าที่เห็น ก็ดูพยายามติดตามสถานการณ์กันตลอดดี มีการแถลงข่าวโดยผู้รับผิดชอบตลอด ตามแนวทางของญี่ปุ่นเขาที่มักจะมีการแถลงข่าวเป็นทางการเสมอ เพื่อที่จะถ่ายทอดข้อมูลได้อย่างครอบคลุมและมีหลักฐานว่าพูดอะไร ไม่ใช่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเจื้อยแจ้วไปเรื่อย มีการประชุมสภา หรือประชุมรัฐมนตรีอะไรก็มีการรายงานให้ได้ดูตลอด มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ หรือรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขออกมาชี้แจง ส่วนรายการทีวีญี่ปุ่นก็ดูจะเสนอข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการพบผู้ป่วยในญี่ปุ่น และที่สำคัญคือ มีการติดเชื้อจากคนสู่คนในญี่ปุ่น โดยเป็นกรณีคนขับรถบัสนำเที่ยวชาวญี่ปุ่น ที่ติดเชื้อหลังจากการรับกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนในเดือนมกราคมที่ผ่านมาสองครั้ง ชวนให้น่าเป็นห่วงมากขึ้น
ส่วนที่อยากจะเอามาเล่าให้ฟังกันต่อคือ กระบวนการไปรับคนญี่ปุ่นที่ต้องการกลับจากอู่ฮั่นครับ ว่าเขาก็ทำได้ดีไม่เบา (แน่นอนว่าก็มีเรื่องน่าติบ้าง) หลายท่านคงจะทราบกันแล้วว่า ญี่ปุ่นสามารถใช้เครื่องบินพานิชย์ของสายการบิน ANA ไปรับชาวญี่ปุ่นกลับมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็มีรายละเอียดน่าสนไม่น้อยครับ หลายคนก็อาจจะงงว่า ทำไม ‘จีนเขาอนุญาต’ ล่ะ ซึ่งของแบบนี้มันก็เกี่ยวกับการดำเนินการทางการทูต ว่าจะต่อรองกันอย่างไร เพื่อให้สามารถเข้าไปรับประชาชนของชาติตัวเองได้ เราไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า อะไร หรือ ทำไม
แต่การที่ญี่ปุ่นส่งหน้ากากอนามัย 15,000 ชิ้น และถุงมือยาง 5,000 คู่
ไปที่เมืองอู่ฮั่นก็น่าจะมีส่วนไม่น้อยครับ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเอาเครื่องบินพานิชย์ของเอกชนไปรับ แต่เท่าที่ดูแถลงการณ์ของรัฐแล้ว ทีแรกเขาก็จะใช้เครื่องเช่าเหมาลำสองเครื่อง กับเครื่องบินของรัฐบาลสองเครื่อง ไปรับชาวญี่ปุ่นทั้งหมดในวันเดียว โดยให้เวลาลงเหลื่อมกันประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อลำ เพราะว่ามีชาวญี่ปุ่นที่ต้องการจะกลับประเทศเกิน 650 คน แต่สุดท้าย ทางจีนก็อนุญาตให้วันละลำเท่านั้น จึงต้องใช้เครื่องเช่าเหมาลำที่รับคนได้เยอะไป ซึ่งก็ดูจะเหมาะกว่า โดยกลุ่มที่กลับกลุ่มแรกมีจำนวน 200 คนโดยประมาณ
ฟังสัมภาษณ์คนที่นั่งเครื่องกลับมา เขาก็ดูมีการเตรียมพร้อมกันดี คือถึงสนามบินกันตอนตี 2 ก่อนจะได้บินตอนตีห้า ก่อนบินก็มีเอกสารต่างๆ ให้อ่านและเซ็นกันเยอะ เพราะต้องเตรียมความเสี่ยงไว้หลายๆ ด้านด้วย รวมถึงกระบวนการเรื่องการเข้าออกประเทศ นอกจากนี้ก็มีขนมและของกินให้บริการก่อนขึ้นเครื่อง เพราะขึ้นเครื่องแล้วจะไม่มีอะไรให้กิน และที่สำคัญคือ จะมีการเก็บค่าโดยสารกลับ โดยตีราคาเท่ากับเที่ยวบินปกติ ตกหัวละ 80,000 เยนไม่รวมภาษี
ฟังดูก็อาจจะชวนหงุดหงิดวว่าทำไมไม่ช่วยฟรี เพราะคนที่กลับก็เป็นชาวญี่ปุ่นที่จ่ายภาษี แต่ส่วนหนึ่งก็เห็นด้วยเพราะคิดว่าเป็นการกลับแบบสมัครใจ และสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายขนาดสงคราม ส่วนทางรัฐก็แจ้งว่า ต้องการปฏิบัติให้เท่าเทียมเพราะก่อนนั้นก็มีคนที่กลับด้วยเงินส่วนตัวก่อนแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร การเตรียมการอพยพคนขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถึงแม้การเก็บเงินอาจจะดูไม่ดีแต่ก็ถือว่าทำเต็มที่เท่าที่ควรล่ะครับ ยังเห็นว่าชีวิตประชาชนของตัวเองสำคัญและรีบร้อนที่จะไปช่วย
จากสัมภาษณ์ บนเครื่องก็มีการเตรียมความพร้อม มีแพทย์คอยเช็คอาการผู้โดยสารกันหมด เขาก็บอกว่า แยกไม่ออกว่าที่เห็นเป็นแอร์โฮสเตสหรือพยาบาล เพราะไม่ได้มีการบริการอะไร แต่คอยเช็คอาการผู้โดยสารตลอด ก็ถือว่าเตรียมพร้อมดีครับ (แค่มาขึ้นเครื่องแบบนี้ก็เพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองแล้ว คารวะ) พอลงเครื่องก็มีการพาไปตรวจ และให้รอที่โรงเรียนตำรวจจนกว่าจะรู้ผล แต่บางคนก็บอกว่าอยากจะอยู่ในนี้สองสัปดาห์เพื่อให้ชัวร์ว่าตัวเองปลอดภัยจริงๆ ค่อยออกไปจะได้ไม่ทำให้คนอื่นลำบาก ก็ต้องยอมรับกับความรับผิดชอบของพวกเขานะครับ
คนที่ติดเชื้อ แม้จะไม่แสดงอาการ ก็ถูกพาไปศูนย์ควบคุมอย่างรัดกุม เขาเตรียมรถพิเศษไว้เพื่อขนส่งผู้ป่วยโดยเฉพาะ ซึ่งก็ต้องคอยดูการให้การรักษาและควบคุมต่อไป เพราะอย่างที่บอกว่ามีการพบการติดต่อระหว่างคนสู่คนไปแล้ว แน่นอนว่าการพบคนที่ติดเชื้ออยู่ในกลุ่มคนที่กลับประเทศมาก็เพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก การวางแผนแต่ละอย่างจึงต้องทำอย่างรัดกุม รวมไปถึงการไปรับชาวญี่ปุ่นกลุ่มที่เหลือด้วย
ยิ่งมีการพบผู้ป่วยมากขึ้น และญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน รวมถึงระยะฟักตัวที่ยังไม่แสดงอาการของไวรัสตัวนี้ ก็ชวนให้มีประเด็นน่าเป็นห่วงเยอะขึ้น แม้อัตราผู้เสียชีวิตต่อผู้ป่วยจะไม่ได้สูงมากเท่ากับ SARS แต่ก็ประมาทไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะในสังคมที่มีผู้สูงอายุเยอะ ความเสี่ยงตรงนี้ก็สูงตามตัว แต่ก็ยังดีที่ดูการทำงานของทางรัฐเขาแล้ว แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ช่วยให้หายกังวลได้หลายๆ ส่วน ก็ได้แต่ขอให้ผ่านปัญหาตรงนี้ไปด้วยกันได้ทั้งโลกนะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก