“ผมคิดว่าประเทศนี้ ไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตที่สดใสงดงามได้เลย ตราบเท่าที่อนาคตของชาติยังอยู่ในกรงขัง เราไม่สามารถจะกล่าวอ้างอธิบายใดๆ ว่าทุกๆ สิ่งที่ทำ ทำเพื่อลูกหลาน ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขังยังไม่ได้กินข้าว”
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงข่าวที่ UDD news อาคารเอเวอรี่มอลล์ นนทบุรี หลังจากได้รับอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ โดยยืนยันว่าจะยังคงมั่นคงในหลักการซื่อตรงต่อประชาชน
ณัฐวุฒิกล่าวว่า การถูกจำคุกในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สามของตน หลังศาลฎีกาตัดสินให้ตนจำคุก 2 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับการติดกำไล EM ในช่วงระยะเวลาพักโทษ 3 เดือนเศษ โดยณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด ก่อนจะได้รับอิสรภาพในเมื่อวานนี้ (29 มีนาคม)
ณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า ตนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี โดยจะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งทางการเมืองได้ แต่ยังยืนยันว่า ถึงแม้จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่จะยังยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อประชาชนต่อไป ความเจ็บปวดที่ผ่านมา ภาระที่ต้องแบกนั้น ตนสามารถรับไหว ตนเชื่อมั่นว่าจุดยืนทางการเมือง ที่ประกาศต่อประชาชนแล้วได้ยืนหยัดสู้มา จะเป็นแนวทางที่จะทำให้บ้านเมืองนี้เดินไปข้างหน้า และทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
ณัฐวุฒิกล่าวเสริมว่า ตนเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง ส่วนนักศึกษาและเยาวชนก็เป็นนักต่อสู้อีกหลายๆ คน ที่มีความเท่าเทียมกัน ตนขอพูดว่า ภายใต้จุดยืนทางการเมืองของตน ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตนขอแสดงตัวอยู่เคียงข้างนิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชน ที่กำลังต่อสู้อยู่ในปัจจุบัน
ณัฐวุฒิกล่าวถึงแกนนำต่างๆ ที่ถูกกักขังในตอนนี้ว่า ตนได้มีการพูดคุย ขณะอยู่ในเรือนจำบ้าง พร้อมทั้งแสดงความเป็นห่วงต่อแกนนำเหล่านี้ว่า แกนนำทั้งหมดไม่เคยถูกขังมาก่อน ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยไหม จากสายตาที่ตนเห็น ประสบการณ์ที่ผ่านมา จนการกลายมาเป็นพ่อคน คนเหล่านี้ มีช่วงอายุไม่ต่างอะไรไปจากลูกของตน
ณัฐวุฒิชี้อีกว่า คนรุ่นตนต่างหาก ที่ต้องออกมาทบทวนว่าพวกเราทำอะไรลงไป เด็กเหล่านี้ต้องอยู่ในห้องเรียน ไม่ใช่ห้องขัง ชะตากรรมของเยาวชนในทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่คนรุ่นตนต้องรับผิดชอบ เราต้องมาแก้ปัญหากันเอง ด้วยความปราถนาดีต่อบ้านเมืองจริงๆ คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นยืนเพื่อบอกว่า พวกเขาจะไม่ทนกับสิ่งที่เป็นมา พวกเขาต้องการความเปลี่ยนแปลง ใครก็ตามในบ้านเมืองนี้ ไม่ควรเกรงกลัวการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องแน่นอนที่สุด
การออกมาประกาศจุดยืนเคียงข้างเยาวชนในวันนี้ ณัฐวุฒิกล่าวว่าตนทำให้ฐานะมนุษย์ และคนเสื้อแดง ผ่านมาสิบกว่าปี ทุกวันนี้ก็ยังเป็นคนเสื้อแดง และทั้งชีวิตก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจ หรือเป็นเรื่องเสียหาย ที่เป็นคนเสื้อแดง ตนต่อสู้ร่วมกับผู้ร่วมอุดมการณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ถูกฆ่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถูกพูดดูถูก ถูกฆ่ากลางถนน แล้วมีคนออกมาจัดกิจกรรมล้างถนน คดีที่มีคนบาดเจ็บไม่ถึงชั้นศาล คนเสื้อแดงถูกเรียกว่าเป็นควาย เป็นขบวนการรับจ้าง เป็นพวกไร้การศึกษา เป็นคนไร้ค่า พวกตนเจอมาตลอดการต่อสู้ในเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา
เยาวชนเหล่านี้เป็นผู้หยิบยื่นความเข้าใจ และหยิบยื่นเกียรติยศให้กับคนเสื้อแดง และตะโกนเรียกพวกตนกลางท้องถนนว่าเข้าใจคนเสื้อแดง เห็นใจ และอยากขอโทษ จากความเข้าใจผิดในอดีต ณัฐวุฒิกล่าวเสริมว่า ในนามของความเป็นมนุษย์ ตนจะทอดทิ้งเยาวชนเหล่านี้ไม่ได้ ถ้าตนต่อต้านเผด็จการในเมียนมา ตนก็ต่อต้านเผด็จการในไทยด้วย การที่ตนออกมาพูด ไม่ใช่การประกาศเผชิญหน้าท้าทาย ตนพูดจากหัวใจ แต่ถ้าใครจะมองว่าการพูดในวันนี้เป็นปัญหา ทำลายชาติบ้านเมือง ตนก็จะไม่เปลี่ยนคำพูด และยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น ถ้าไม่เข้าใจและเท่าทัน จะสร้างความเสียหายด้วยกันทั้งระบบ
ณัฐวุฒิอธิบายเพิ่มเติมถึง บทสนทนาของตนกับ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ในเรือนจำ ในคำถามที่ว่า ภายนอกได้มีการนำคำปราศรัยของตนไปพูดถึง มีการตะโกนชื่อของตนในหลายที่ จากการที่พริษฐ์ในวัย 11 ปี จดจำตนได้เมื่อการต่อสู้ใน พ.ศ.2553 เมื่อเหตุการณ์ผ่านมา 10 ปี พริษฐ์กลายมาเป็นแกนนำในการต่อสู้ อีก 10 ปีข้างหน้า ลูกชายของตนจะอายุเท่าพริษฐ์ และลูกชายของตนอาจจะต้องลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างที่พริษฐ์กำลังทำ ตนขอถามหัวใจของคนเป็นพ่อแม่ว่า คนเป็นพ่อแม่จะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำๆ กันต่อไปเรื่อยๆ หรือไม่ ขอความเมตตาแต่อย่าอาฆาต กรุณาแต่อย่าพยาบาท ทั้งนี้ ณัฐวุฒิกล่าวปิดท้ายว่า “พี่เต้นยังอยู่ตรงนี้ พี่เต้นเคียงข้างเสมอ เป็นกำลังใจ เข้าใจ และเห็นใจ และไม่คิดจะทอดทิ้งกัน”
อ้างอิงจาก
https://www.youtube.com/watch?v=LY8tVO8gB5Q
#Quote #TheMATTER #ณัฐวุฒิ