ต้องยอมรับว่าธุรกิจร้านอาหารแบกรับภาระทุกครั้งที่เกิดโรคระบาดในแต่ละระลอก ‘เดลิเวอรี่’ จึงกลายเป็นทางเลือกที่ร้านอาหารเตรียมไว้รองรับธุรกิจตัวเอง นอกจากเข้าร่วมกับแพลตฟอร์มโดยตรงแล้ว การลงมาทำเดลิเวอรี่ในนามของร้านเองก็ต้องเตรียมพร้อมพอสมควร โดยเฉพาะการสร้างความแตกต่างที่จะจูงใจให้คนมาซื้อ
RISE Cafe เป็นอีกตัวอย่างของร้านอาหารที่หันมาจับทางเดลิเวอรี่ เดิมทีทางร้านเปิดให้บริการเป็นคาเฟ่อยู่ภายใน Luk Hostel เน้นขายอาหารและเครื่องดื่มผลไม้สดแบบ Fruit Slushy ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมีแผนจะขยับขยายกิจการ หากแต่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์เมื่อปีที่แล้ว นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ RISE Cafe ก้าวเข้ามาทำบริการเดลิเวอรี่ตั้งแต่ตอนนั้น
สิ่งที่น่าสนใจก็คือทางร้านนำ “การผูกปิ่นโต” เข้ามาปรับใช้กับโมเดลธุรกิจ เพื่อสร้างแนวทางการทำร้านอาหารเดลิเวอรี่ที่แตกต่าง ตัดปัญหาการลดพนักงาน และรองรับความต้องการลูกค้าได้ วันนี้เลยอยากพาทุกคนมาย้อนดูแนวทางการทำเดลิเวอรี่ของ RISE Cafe ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อหาคำตอบว่าแบรนด์มีการวางแผนปรับเปลี่ยนอย่างไรตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรก จนถึงครั้งนี้ที่จำต้องปิดให้บริการนั่งกินในร้านอีกครั้ง
ปรับแผนธุรกิจอย่างไร
เดิมทีธุรกิจในเครือแบ่งออกเป็น 5 ยูนิต ได้แก่ Once Again Hostel กับ Living Cafe ตรงถนนพระสุเมรุ และ Luk Hostel ในย่านตลาดสำเพ็ง ซึ่งเปิด Bar & Restaurant บนดาดฟ้า และ RISE Cafe ที่ชั้นหนึ่งของโฮสเทล เมื่อเจอล็อกดาวน์ปีที่แล้ว ทางทีมตัดสินใจยุบการให้บริการของกิจการเหลือ 2 ยูนิต โดยย้ายแขกจาก Once Again Hostel มาพักที่ Luk Hostel แทน แล้วเปลี่ยนล็อบบี้ของ Once Again Hostel ให้กลายเป็นครัวทำอาหาร ใช้ชื่อว่า Once Again Kitchen by RISE Cafe x Living Cafe เพื่อเตรียมทำเดลิเวอรี่ของ RISE Cafe โดยเฉพาะ
ปรับกำลังคนและทีมงานอย่างไร
ในฐานะนายจ้าง ลูกน้องที่รับเข้ามาทำงานทุกคนก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของทีมที่จะช่วยสร้างแบรนด์ร่วมกัน การเลิกจ้างพนักงานจึงไม่ใช่คำตอบของที่นี่ แต่ปรับเปลี่ยนกำลังคนจากฝั่งโฮสเทลที่ต้องปิดชั่วคราวมาช่วยงานรองรับแผนธุรกิจเดลิเวอรี่แทน นอกจากจะได้ลองทำสิ่งใหม่แล้ว ยังทำให้ค้นพบทักษะทำครัวของพนักงานหลายคน โดยเมนูอาหารแต่ละจานที่ทำขึ้นมานั้นก็มาจากการออกไอเดียร่วมกันของเจ้าของและคนในทีมทั้งนั้น
สร้างจุดขายเดลิเวอรี่อย่างไร
นับตั้งแต่เดลิเวอรี่เป็นที่นิยม ร้านอาหารต่างเบนเข็มมาทำบริการนี้กันมากขึ้น สิ่งที่ RISE Cafe คิดตอนนั้นคือจะทำอย่างไรให้คนเลือกสั่งอาหารกับร้านที่เพิ่งเปิดตัว จนได้ออกมาเป็นวิธีผูกปิ่นโตที่นำมาใช้เป็นจุดขายเดลิเวอรี่ แนวคิดนี้เกิดจากการตีโจทย์คนกิน หากคนออกมากินข้างนอกไม่ได้ ไม่อยากออกมา หรือต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวและไม่ได้ทำอาหารกินเอง การคิดเมนูผูกปิ่นโตก็น่าจะตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ไม่น้อย เพราะไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร รวมทั้งประหยัดได้มากกว่าเมื่อเทียบกับการสั่งแบบมื้อต่อมื้อ
การวางธีมอาหารแต่ละสัปดาห์ก็ยิ่งจูงใจคนให้ลงชื่อซื้อกับทางร้านได้มากขึ้น แถมยังช่วยให้ร้านวางแผนจัดการได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณต้นทุน เตรียมวัตถุดิบ หรือแม้แต่วางแผนจัดส่งอาหารให้ถึงมือลูกค้า เพราะทางร้านรู้จำนวนลูกค้าที่สั่งออร์เดอร์แน่นอน
ความแตกต่างอีกอย่างของเดลิเวอรี่ RISE Cafe คือการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุย่อยสลายง่าย ส่วนใหญ่แล้ว ร้านอาหารมักใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุใช้แล้วทิ้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดขยะเพิ่มขึ้น นี่เองที่ทำให้ร้านคิดค้นหีบห่ออาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หาได้ง่าย ใช้ได้จริง โดยใช้ใบบัวที่มีความเหนียวทนทานมาห่อของร้อน หรือกล่องกระดาษแบบที่ใส่แกงได้และของทอดได้ ไม่เปื่อยยุ่ย แถมกำจัดได้ง่ายไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ซึ่งตอบโจทย์คนกินในแง่อำนวยความสะดวกสบาย และสื่อสารความเป็นแบรนด์รักษ์โลกผ่านสิ่งที่ทำ
หากใครที่กำลัง work from home หรือคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรในมื้อต่อไป ลองมาผูกปิ่นโตหรือดูรายการอาหารกันก่อนที่ RISE Cafe and Bar ได้เลย
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.soimilk.com/rest…/news/soimilk-unbox-rise-cafe
https://readthecloud.co/rise-cafe/
Content by Piyawan Chaloemchatwanit