ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นที่พูดถึงกันทั้งในสังคมไทยและสังคมเกาหลีใต้ นั่นก็คือ ข่าวการเดบิวต์ของเกิร์ลกรุ๊ป K-POP ที่ชื่อ ‘H1-KEY’ ที่ปรากฏว่ามี ลูกหนัง—ศีตลา วงษ์กระจ่าง สมาชิกชาวไทย ลูกสาวของตั้ว—ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เป็น 1 ใน 4 สมาชิกวงด้วย
แต่วันนี้ The MATTER ไม่ได้จะมาเล่าถึงวงเกิร์ลกรุ๊ปน้องใหม่ที่ว่านี้ เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ปฏิกิริยาของคนเกาหลีใต้ ที่ปรากฏบนอินเทอร์เน็ตและสื่อต่างๆ ของเกาหลีใต้ ว่าจะไม่ต้อนรับใครก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับระบอบเผด็จการ ไม่ว่าจะในประเทศตัวเอง หรือนอกประเทศก็ตาม
คำถามที่น่าถามก็คือ ทำไมคนเกาหลีใต้ดูจะแสดงออกถึงความหวงแหนประชาธิปไตย และต่อต้านเผด็จการอย่างชัดเจน? หากเรามองการเมืองเกาหลีใต้ ก็อาจบอกได้ว่า คุณค่าประชาธิปไตยดูจะหยั่งรากลึกในสังคมไปแล้ว มันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า?
The MATTER ชวนย้อนดูประวัติศาสตร์ย่อของเกาหลีใต้ แล้วมาสรุปบทเรียน
ทำไมคนเกาหลีใต้ไม่เอาเผด็จการ
ให้เล่าประวัติศาสตร์เกาหลีใต้อย่างสั้นที่สุด ก็พอจะบอกได้ว่า คนเกาหลีใต้อยู่กับระบอบเผด็จการอำนาจนิยมมาอย่างยาวนาน ประชาชนต้องอยู่ภายใต้ประธานาธิบดีหลายคนที่พยายามรวบอำนาจไว้กับตัวเอง นับตั้งแต่อี ซึง-มัน ประธานาธิบดีคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 1948
เผด็จการทหารที่หลายคนอาจรู้จักกันดีก็คือ นายพลพัก จ็อง-ฮี ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดีครั้งแรกด้วยการก่อรัฐประหารเมื่อปี 1961 และเคยเขียนรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งกี่วาระก็ได้ในปี 1972 ในระยะเวลา 18 ปีภายใต้การปกครองของ พัก จ็อง-ฮี นักศึกษาและกรรมกรก็พยายามออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ตลอด แต่ก็เป็นไปอย่างยากเย็น
ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยเริ่มจะเบ่งบานขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือ พัก จ็อง-ฮี ถูกลอบสังหารในขณะที่ชนชั้นนำกำลังแย่งยื้ออำนาจกันเมื่อเดือนตุลาคม 1979 จากนั้น ช็อน ดู-ฮวัน ก่อรัฐประหารอีกครั้ง ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน
จนเมื่อปี 1980 ประชาชนก็ออกมาต่อต้านรัฐบาลทหารของ ช็อน ดู-ฮวันมากขึ้นเรื่อยๆ มีการเรียกร้องให้ยุติกฎอัยการศึก และเข้าสู่กระบวนการตามประชาธิปไตยโดยเร็ว แต่รัฐบาลทหารก็อ้างความวุ่นวาย แล้วหันมาขยายขอบเขตของกฎอัยการศึก พร้อมปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอย่างหนักหน่วงขึ้น
ในช่วงปีนี้ ฝ่ายประชาชนกับฝ่ายรัฐบาลก็ผลัดกันตอบโต้ไปมาตลอด จนต่อมา เกิดเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยที่โดดเด่นของประชาชนเกาหลีใต้ คือ การลุกฮือที่กวางจูเมื่อเดือนพฤษภาคม 1980 ซึ่งในท้ายที่สุดก็เป็นเหตุการณ์ที่น่าสลด จบลงด้วยความพ่ายแพ้และโศกนาฏกรรมสังหารหมู่ ที่มีผู้เสียชีวิตนับร้อยราย ต่อมา รัฐบาลก็พยายามรวบอำนาจมากขึ้นอีก ในขณะที่ก็ยังมีการเลือกตั้งเป็นฉากบังหน้า ให้ดูเหมือนว่ายังมีกระบวนการประชาธิปไตยอยู่ แต่สิทธิต่างๆ ของประชาชนก็ถูกจำกัดอย่างรุนแรง
ระหว่างนี้ การพัฒนาทางเศรษฐกิจก็ยังคงเติบโตต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลให้ความก้าวหน้าทางด้านสังคมเติบโตขึ้นด้วย คนเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเองเป็นวงกว้างมากขึ้น
จนมาถึงเดือนมิถุนายน 1987 เมื่อมีชนวนจากความโหดร้ายภายใต้ระบอบเผด็จการของ ช็อน ดู-ฮวัน เกิดเหตุการณ์อย่างการทรมานและสังหาร พัก ยอง-ชุล นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ประชาชนก็มารวมตัวกันครั้งใหญ่ ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘June Struggle’ ถึงตอนนั้น บรรยากาศทางการเมืองก็ประจวบเหมาะ การประท้วงสามารถกดดันรัฐบาลได้เป็นผล เกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีทางตรง ปูทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ในเวลาต่อมา
ในทางประวัติศาสตร์ ความทรงจำช่วงทศวรรษ 1950–1980 จึงอาจเป็นเครื่องย้ำเตือนไม่ให้เกาหลีใต้ถอยหลังกลับไปเป็นเผด็จการอำนาจนิยมอีก
ชญานิษฐ์ เชิดธรรมธร นักวิจัยด้านเกาหลีศึกษา ได้ให้ความเห็นว่า ในแง่หนึ่ง ก็เป็นปกติที่คนจะใส่ใจเรื่องประชาธิปไตย “เพราะกว่าจะได้มาก็ยาก และก็เพิ่งได้มาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ในยุคนั้นก็ยังอยู่ ไม่ใช่วัยที่อายุเยอะมาก”
คนเกาหลีใต้หวงแหนประชาธิปไตยจริงหรือเปล่า
มากไปกว่าที่ได้พูดถึงไป ชญานิษฐ์ บอกว่า ในสังคมเกาหลีใต้ ประชาชนพร้อมที่จะรักษาสิทธิของตัวเองตามระบอบ “ที่แสดงออกเห็นชัดที่สุด เราน่าจะเห็นในรูปแบบของการเดินประท้วง การเดินบนถนน เกาหลีทำกันเป็นเรื่องธรรมดามาก เค้าไม่กลัวที่จะขึ้นมา ‘speak up’ ในเรื่องที่เค้าไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง”
เช่นเดียวกับ ฮา-จุน ชาง นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเคยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ New York Times ว่า แทนที่เกาหลีใต้จะยึดถือคุณค่าแบบเอเชีย ที่ละเลยความสำคัญของสิทธิปัจเจก เราจะเห็นว่าเกาหลีใต้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาโดยตลอด นั่นก็เป็นเพราะวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของพลเมืองที่เกิดขึ้นเสมอมา
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าประชาธิปไตยของเกาหลีใต้จะไร้อุปสรรค
ปัญหาหนึ่งที่อาจจะเห็นชัดเจนก็คือความแตกต่างกันระหว่างวัย ไม่ใช่คนเกาหลีใต้ทุกคนที่เห็นด้วยกับความก้าวหน้า การที่ยังมีคนสนับสนุนอดีตประธานาธิบดี พัก กึน-ฮเย ซึ่งเป็นลูกสาวของ นายพลพัก จ็อง-ฮี อดีตผู้นำเผด็จการ ก็เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ว่านี้
และแน่นอนว่า หลักการประชาธิปไตยก็ไม่ได้มีแค่การใช้สิทธิตามระบอบการเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสิทธิทางสังคม และสิทธิมนุษยชนด้วย
อย่างในช่วงปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นกระแสต่อต้านเฟมินิสต์ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในเกาหลีใต้ การขึ้นมาของ อี จุน-ซ็อก หัวหน้าพรรค People’s Power Party คนใหม่ ซึ่งได้กลายมาเป็นตัวแทนของกระแสโต้กลับเฟมินิสต์ ย่อมไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่สำหรับความหลากหลายและความเท่าเทียมในสังคมเกาหลีใต้
ก็ต้องมาดูกันต่อไปอีกยาวๆ ว่าการเมืองเกาหลีใต้จะพัฒนาไปในทิศทางใด
อ้างอิงจาก
https://www.britannica.com/place/South-Korea/History
https://www.britannica.com/event/Kwangju-Uprising
https://www.much.go.kr/en/contents.do?fid=03&cid=03_9
https://www.nytimes.com/2017/09/14/opinion/south-korea-social-mobility.html
http://polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=482
http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20210906000932