กลายเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญมากที่สุดครั้งหนึ่งในสหรัฐฯหลังจากที่มือปืนวัย 18 ปี บุกก่อเหตุกราดยิงโรงเรียนประถมศึกษาร็อบบ์ (Robb Elementary School) ในเมืองยูวัลดี รัฐเท็กซัส สหรัฐฯ จนมีผู้เสียชีวิต 21 ราย โดยเป็นเด็กนักเรียน 19 ราย และผู้ใหญ่ 2 ราย
เหตุการณ์นี้ชวนให้นึกถึงการกราดยิงโรงเรียนประถมศึกษาแซนดี ฮุก (Sandy Hook Elementary School) เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์กราดยิงโรงเรียนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในสถิติของสหรัฐฯ ขณะที่การกราดยิงครั้งนี้เอง ก็มีความรุนแรงเป็นรองแค่การกราดยิงที่แซนดี ฮุก เท่านั้น
The MATTER ขอสรุปเหตุการณ์กราดยิงที่โรงเรียนประถมศึกษาร็อบบ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ไว้ดังนี้
1.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนประถมศึกษาร็อบบ์ ในเมืองยูวัลดี รัฐเท็กซัส เมื่อวันอังคารที่ 24 พ.ค. 2565 ช่วงก่อนเที่ยงตามเวลาในสหรัฐฯ ซึ่งในสัปดาห์นี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ กำลังเตรียมตัวปิดเทอมภาคฤดูร้อน วันที่เกิดเหตุยังเป็นวันที่เด็กๆ นัดกันแต่งตัวในธีมแฟนซีเพื่อต้อนรับปิดเทอมอีกด้วย
2.
เวลา 11.43 น. ตามเวลาในสหรัฐฯ มีการแจ้งเตือนผ่านทางเฟซบุ๊กว่า “โปรดทราบว่าเวลานี้ โรงเรียนประถมฯ ร็อบบ์ กำลังอยู่ในสถานะล็อกดาวน์ เนื่องจากมีเหตุยิงกันในพื้นที่ นักเรียนและเจ้าหน้าที่กำลังปลอดภัยอยู่ในอาคาร”
ก่อนที่จะมีข้อความที่ 2 ตามมาว่า “มีมือปืนที่กำลังก่อเหตุกราดยิงอยู่ที่โรงเรียนประถมฯ ร็อบบ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ในพื้นที่แล้ว”
3.
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 21 ราย โดยเป็นเด็กนักเรียน 19 ราย ที่เรียนอยู่ในชั้นเกรด 2-4 (ป.2-4) มีอายุระหว่าง 7-10 ปี และเป็นผู้ใหญ่อีก 2 ราย ซึ่งเป็นครูในโรงเรียน ขณะที่ผู้บาดเจ็บถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลยูวัลดีเมโมเรียล (Uvalde Memorial Hospital)
4.
สำหรับโรงเรียนประถมฯ ร็อบบ์ ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับใจกลางเมืองยูวัลดี มีนักเรียนมากกว่า 500 คน ส่วนใหญ่มีอายุ 7-10 ปี และด้วยความที่เมืองอยู่ไม่ไกลจากชายแดนเม็กซิโก เพียงแค่ประมาณ 100 กิโลเมตร ทำให้นักเรียนถึง 90% มีเชื้อสายฮิสแปนิก ขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นนักเรียนผิวขาว
5.
ภายหลังจากเกิดเหตุ ดร.ฮอล ฮาร์เร็ลล์ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาในเมืองยูวัลดี ก็ได้สั่งให้ปิดโรงเรียนก่อนกำหนดแล้ว จากเดิมที่จะปิดเทอมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเขตพื้นที่ก็ประกาศจะให้ความช่วยเหลือด้านการปรึกษาและการสนับสนุนนักเรียนต่อไป
6.
ทางด้านมือปืน ปรากฏชื่อว่าเป็น ‘ซัลวาดอร์ รามอส’ วัยรุ่นอายุ 18 ปี เป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมยูวัลดี (Uvalde High School) และอาศัยอยู่ในเมืองซาน อันโตนีโอ ที่อยู่ข้างเคียง เขาก่อเหตุโดยใช้อาวุธไรเฟิล AR-15 สวมเสื้อเกราะ และมีรายงานว่าเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
7.
ก่อนหน้านี้ พบว่า รามอสยังได้อัพโหลดภาพปืนไรเฟิล 2 กระบอกที่คาดว่าเป็น AR-15 ลงสตอรี่ในแอคเคาต์ ‘salv8dor_’ บนอินสตาแกรม ซึ่งเพื่อนร่วมห้องหลายคนก็ยืนยันว่าเป็นแอคเคาต์ของรามอสจริง
ขณะที่เพื่อนร่วมห้องบางคนก็เปิดเผยกับสำนักข่าว CNN ว่า รามอสส่งปืนมาให้เขาดูด้วย และยังบอกอีกว่า รามอสมักจะถูกเพื่อนๆ เหยียดหยามเรื่องเสื้อผ้ากับสถานะทางการเงินของครอบครัว จนถึงช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยเห็นรามอสในห้องเรียน และไม่ค่อยได้ติดต่อกันอีก
8.
ก่อนเกิดเหตุ มีการรายงานอีกว่า รามอสยิงหญิงวัย 66 ปีในอพาร์ตเมนต์ที่เมืองยูวัลดี ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองซาน อันโตนิโอ เจ้าหน้าที่ยืนยันในภายหลังว่าเป็นยายของรามอสเอง
9.
ต่อมาภายหลัง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แถลงกับประชาชนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้ผลักดันเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาวุธปืนที่เป็นปัญหามานานในสหรัฐฯ
ไบเดน ซึ่งเคยสูญเสียลูกสาววัย 1 ขวบและภรรยาคนแรกจากอุบัติเหตุรถยนต์ บอกว่า การสูญเสียลูกเหมือนกับ “ชิ้นส่วนของจิตวิญญาณของคุณถูกพรากเอาไป” เขาถามต่อมา “ในนามของพระเจ้า เมื่อไหร่ที่เราจะลุกขึ้นสู้กับฝ่ายที่ล็อบบี้การใช้อาวุธปืนเสียที?”
เขากล่าวต่อว่า “ผมสะอิดสะเอียนและเบื่อหน่ายเต็มที เราต้องทำอะไรบางอย่าง แล้วอย่าบอกผมว่าเราทำอะไรไม่ได้กับการสังหารหมู่ครั้งนี้”
10.
ที่ไบเดนพูดก็คงจะไม่เกินจริงนัก จากข้อมูลโดย Education Week สื่อการศึกษาของสหรัฐฯ การกราดยิงโรงเรียนครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 27 ในสหรัฐฯ แล้วสำหรับปีนี้ และหากนับรวมเหตุการณ์กราดยิงทั้งหมด ในปีนี้ก็มีเกิดขึ้นอย่างน้อย 212 ครั้ง แม้วันนี้ (25 พ.ค.) จะเป็นวันที่ 145 ของปีเท่านั้น
เหตุการณ์กราดยิงครั้งนี้ยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่มีการกราดยิงในซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พ.ค. และมีผู้เสียชีวิต 10 ราย
สำนักข่าว Vox รายงานอิงจากข้อมูลโดย Gun Violence Archive ด้วยว่า หลังจากเหตุการณ์ที่แซนดี ฮุก ซึ่งเป็นการกราดยิงครั้งรุนแรงที่สุดในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2555 ก็เกิดเหตุกราดยิงขึ้นอีกถึง 3,865 ครั้ง จนถึงตอนนี้
11.
แน่นอน ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการกราดยิงย่อมมีปัจจัยส่วนบุคคล เช่น สภาพทางจิตใจของผู้ก่อเหตุอยู่แล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการควบคุมการครอบครองอาวุธปืนในสหรัฐฯ
จากการสำรวจของสำนักวิจัย Pew Research Center และ General Social Survey เมื่อปี 2560 พบว่า ยิ่งชาวอเมริกันครอบครองปืนมากเท่าไร การเสียชีวิตจากอาวุธปืนก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเป็นเงาตามตัว และสหรัฐฯ ก็มีอัตราส่วนในเรื่องนี้สูงมาก จนประเทศอื่นๆ เทียบไม่ติด
12.
เท็กซัสเองก็เป็นรัฐหนึ่งที่ต้องเจอกับปัญหาเรื่องปืนบ่อยมากกว่าที่อื่นๆ สาเหตุก็เนื่องจากเท็กซัสเป็นหนึ่งในรัฐที่มีการควบคุมการครอบครองอาวุธปืนน้อยที่สุดในสหรัฐฯ
เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ผู้ว่าการรัฐ เกร็ก แอ็บบอตต์ ก็เพิ่งลงนามผ่านกฎหมาย 7 ฉบับ ที่ช่วยเปิดเสรีการครอบครองปืนมากกว่าที่เคยมีมา โดยมีกฎหมายอยู่ฉบับหนึ่งที่อนุญาตให้ประชาชนครอบครองปืนอย่างถูกกฎหมายได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาต
ในการแก้กฎหมายครั้งนั้น เช่นเดียวกับครั้งอื่นๆ ผู้ที่สนับสนุนการครอบครองปืนก็จะตอกย้ำสิทธิในการครอบครองปืนโดยอ้างถึงรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตราที่ 2 ของสหรัฐฯ (Second Amendment) ที่ยืนยันถึงสิทธิที่จะพกอาวุธปืนโดยไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐบาลกลาง
13.
หลังจากนี้ การเมืองในสหรัฐฯ ก็คงจะกลับมาถกเถียงถึงปัญหากฎหมายอาวุธปืนกันอีกครั้ง โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายเดโมแครต ที่จะกลับมาถามคำถามเดียวกับที่ไบเดนตั้งไว้ว่า
“ในนามของพระเจ้า เมื่อไหร่ที่เราจะลุกขึ้นสู้กับฝ่ายที่ล็อบบี้การใช้อาวุธปืนเสียที?”
อ้างอิงจาก