เจ็บกันไปเท่าไหร่กับค่าไฟเดือนนี้? กลายเป็นคำถามติดตลก แต่เจ็บจริงมาตั้งแต่ปลายปีก่อน หลังมีการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) งวดล่าสุด พร้อมเปิดประเด็นกำลังไฟฟ้าสำรองที่เกินจำเป็น จนนำมาสู่การตั้งคำถามต่อ ‘ความไม่เป็นธรรมของค่าไฟ’ ที่ประชาชนต้องเผชิญ
วานนี้ (20 มกราคม) ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา โครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรม ร่วมกับศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาฯ จัดเวทีเสวนา ‘ทางออกอยู่ตรงไหน? ค่าไฟไทยในยุคของแพง ค่าแรงถูก’ เพื่อแสวงหาทางออกให้กับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
The MATTER สรุปประเด็นที่น่าสนใจของเวทีสาธารณะครั้งนี้ มาชวนพูดคุยกัน
1. สถานการณ์โรงไฟฟ้าไทย
ตลอดระยะเวลา 36 ปี สถิติชี้ว่า ไทยพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก อย่างปี 2565 มีสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตมากถึง 54% รองลงมา คือถ่านหิน 17% พลังงานหมุนเวียน 11% และอื่นๆ
ตามที่รู้กันว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินจะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนฯ ได้มากที่สุด แต่ด้วยบ้านเรามีสัดส่วนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเกินกว่าครึ่งของโรงไฟฟ้าทั้งหมด เลยทำให้การปล่อยคาร์บอนฯ ปี 2563 มีถึง 62% ที่มาจากโรงไฟฟ้าประเภทนี้
และเมื่อความต้องก๊าซธรรมชาติยังคงมีอยู่ แต่ทรัพยากรในประเทศเริ่มไม่เพียงพอ แถมยังมีส่วนต่างเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเกิดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มากขึ้น สิ่งที่ตามมา คือ การก่อสร้างท่าเทียบเรือเพื่อรองรับการขนส่งดังกล่าว ท้ายสุดก็จะตกมาเป็น ‘ค่าไฟฟ้าพื้นฐาน’ ที่กลับมารบกวนเงินในกระเป๋าของประชาชน
2. ความไม่เป็นธรรมของค่าไฟฟ้า ซ่อนอยู่ที่ไหนบ้าง?
ส่วนหนึ่งของงานเสวนาครั้งนี้ ได้นำเสนอบทความเรื่อง ‘ความไม่เป็นธรรมของค่าไฟ’ ที่จัดทำโดย สฤณี อาชวานันทุล กรรมการผู้จัดการด้านพัฒนาความรู้ บริษัทป่าสาละ จำกัด มีการชี้ประเด็นสำคัญ เช่น
– ค่าเชื้อเพลิงที่แท้จริง ยังแพงกว่าค่า Ft ที่เรียกเก็บอีกหลายเท่า นั่นหมายความว่า ถ้ารัฐไม่รับภาระเอาไว้ คนยังต้องจ่ายค่าไฟที่แพงกว่านี้อีก “เราไม่ได้จ่ายค่าไฟฟ้าที่แท้จริง”
– ค่าไฟบางส่วนแพงจากระบบการจัดหาไฟฟ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงปัจจัยภายนอก อย่างราคาก๊าซ การนำเข้า เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนอยู่อีก เช่น ราคาเนื้อก๊าซที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และโรงงานก๊าซธรรมชาติ นั้นจะได้ราคาที่ถูกกว่าก๊าซที่นำมาผลิตในโรงงานไฟฟ้า นั่นเท่ากับว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะสูงกว่าต้นทุนของการผลิตปิโตรเคมี รวมถึงระบบการขนส่งก๊าซของประเทศ ยังเป็นระบบผูกขาด ไม่มีการแข่งขัน เป็นต้น
3. ข้อเสนอทางออก
คนที่ตัดสินใจเชิงนโยบายไม่ทราบ หรือทราบแล้วแต่ยังทำเช่นเดิม? เป็นคำถามตั้งต้นของ ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ม.ธรรมศาสตร์ ที่เล่าถึงปัญหาที่ไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติมากเกิน อีกทั้งต้นทุนค่าพลังงานที่ไม่สร้างโอกาสในการแข่งขัน ด้วยข้อเสนอ 5 ทางออก คือ
– หยุดอนุมัติการสร้างโรงไฟฟ้าฟ้าพลังงานฟอสซิลใหม่ทุกกรณี
– ชะลอการก่อสร้าง และการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ลงนามไปแล้ว
– เจรจาเอกชนลดค่าพร้อมจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าที่ไม่เดินเครื่องเลยเป็นเวลานาน
– รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่มีต้นทุนต่ำกว่าค่าไฟฟ้า LNG
– เปิดเสรีและสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป แบบ Net metering ในระดับครัวเรือนและ SME
“เรายังใช้ LNG ค่อนข้างเยอะ มันเหมือนของแพง ของหรูที่พอนำมาผลิตไฟฟ้า ค่าไฟจะสูงตาม ถ้าเราอยากลดค่าไฟก็ต้องลดการใช้ของแพงมาผลิต” ชาลี กล่าว
4. ค่าไฟแพงเพราะวิกฤติพลังงาน หรือนโยบาย?
คงต้องพูดถึง แผนพัฒนาพลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ที่มีเป้าหมายจัดหาไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการใช้งาน และรองรับการขยายของเมือง แต่กลับสร้างคำถามต่อการเปลี่ยนผ่านไปยัง ‘พลังงานหมุนเวียน’
ด้วยเหตุผลว่า แผนแม่บทที่มีการปรับปรุงครั้้งหนึ่งแล้ว แบ่งการทำงานเป็น 2 ช่วง โดยใน 10 ปีแรก เป็นการเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิล และซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ จนทำให้เราเห็นภาพโรงไฟฟ้าที่ผุดขึ้นอย่างในปัจจุบัน
ก่อนที่ 10 ปีหลัง (พ.ศ 2569-2580) ถึงจะมีการเดินหน้าเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ย้อนไปหลายโครงการรัฐในต่างประเทศ มีการเจรจาเพื่อปลดระวางก่อนกำหนด หากเห็นว่าประโยชน์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมมีมากกว่า “ไฟฟ้าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ถ้าเราเห็นประเทศไหนที่มีมหาเศรษฐีมีความมั่งคั่งจากธุรกิจนี้ ต้องตั้งคำถามแล้ว” สฤณีตั้งคำถามปิดท้าย