ใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกที The MATTER จึงชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ จีน–พุธิตา ชัยอนันต์ วัย 35 ปี ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกล จ.เชียงใหม่ ที่เริ่มต้นจากการเป็นนักเคลื่อนไหวการเมืองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะก้าวสู่แวดวงการเมืองอย่างเต็มตัว
1. อะไรเป็นจุดเริ่มต้นในการสนใจด้านการเมือง?
พุธิตา เล่าว่า ในช่วงการรัฐประหารปี 2549 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มสนใจการเมือง และตั้งคำถามอย่างจริงจัง ประกอบกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกสนใจด้านการเมืองยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุผลว่า “การที่มีคนเสียชีวิตถึง 99 ศพ แต่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบ ทำให้เราสะเทือนใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก หลังจากนั้นเราจึงพยายามหาต้นตอของปัญหา”
“เราก็เริ่มต้นด้วยการค้นคว้าทำงานวิจัยเกี่ยวกับการเมืองในสมัยเรียนปริญญาโท โดยการศึกษาเกี่ยวกับคนเสื้อแดง รวมถึงเราได้มีโอกาสเข้าค่ายกับทาง ILaw ทำให้ได้รู้จักกับนักศึกษากลุ่มอื่นๆ ก็เลยทำให้มีโอกาสในการออกมาผลักดันหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาของความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง”
ในเวลาต่อมา พุธิตาจึงเข้าสู่การเป็นนักกิจกรรม และในช่วงคาบเกี่ยวนั้นเธอได้มีโอกาสทำงานกับองค์กรหนึ่ง ซึ่งติดตามประเด็นเหมืองแร่ทองคำ อำเภอวังสะพุง จ.เลย ที่ประชาชนคัดค้านและเรียกร้องให้ปิดเหมืองดังกล่าว
“ประเด็นนี้ทำให้เราเริ่มเข้าใจและตกผนึกว่า ปัญหาของคนไทยเกิดจากอะไรบ้าง ทั้งเกิดจากรัฐ กลุ่มนายทุน แล้วเราก็ต้องตั้งคำถามว่าแล้วประชาชนอยู่ตรงไหน โดยสุดท้ายแล้ว บาปกรรมทุกอย่างก็ไปตกอยู่กับประชาชนหรือเปล่า ยิ่งทำให้เราอยากออกมาเปลี่ยน”
พุธิตา เล่าต่อว่า การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ในตอนนั้น เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์เธอ เนื่องด้วยแคมเปญ ‘ไทย 2 เท่า’ ที่ระบุว่า คนไทยเท่าเทียม และไทยที่เท่าทันโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอปรารถนาให้เกิดขึ้นกับทุกคนมาโดยตลอด
“เราทุกคนควรมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะจนหรือรวย คนรวยไม่ควรมีสิทธิเหนือกว่าคนจน และประเทศไทยเราควรจะเจริญและเท่าทันโลกมาตั้งนานแล้ว และยิ่งเรามีลูก เราก็ยิ่งเป็นห่วงอนาคตของลูกว่าจะเป็นอย่างไรในสังคมแบบนี้ ดังนั้นสวัสดิการควรเข้าถึงคนไทยทุกคน โดยการกระจายอำนาจที่จากเดิมความเจริญกระจุกตัวอยู่แค่ที่กรุงเทพให้ไปสู่ท้องถิ่นบ้าง” พุธิตาย้ำเหตุผล
2. อะไรคือความท้าทายการควบบทบาทแม่ และ ส.ส. ไปพร้อมกัน
การควบ 2 บทบาท ทั้งการเป็นคุณแม่ และทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปพร้อมกัน ส่งผลต่อเส้นทางชีวิตในตอนนี้อย่างไรบ้าง? เป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยที่อดถามไม่ได้
“การทำหน้าที่ทั้ง 2 บทบาท ควบคู่กันไป ทำให้เรามีมุมมองที่ละเอียดมากขึ้น เช่น เข้าใจความยากลำบากของคนเป็นแม่ที่มีลูกที่ต้องดูแล รวมทั้งเมื่อเรานำปัญหาและประสบการณ์ส่วนตัวมารวมกันแล้ว เราก็สามารถผลักดันเป็นนโยบายพรรค เช่น นโยบายสิทธิลาคลอด 180 วัน โดยที่คุณแม่และคุณพ่อสามารถแบ่งวันลาคลอดกันได้ ทำให้พวกเขาสามารถใช้เวลากับลูกมากขึ้น”
ไม่เพียงเท่านี้ พุธิตายังกล่าวว่า ในสังคมเรายังคงมีทัศนคติที่มองว่า ‘ผู้หญิงที่มีลูก’ ควรที่จะทำหน้าที่แม่แต่เพียงอย่างเดียว และผู้หญิงควรที่จะเสียสละเวลาหรือโอกาสทางหน้าที่การงานทันทีที่มีลูกหรือมีครอบครัว ดังนั้น การมีลูกสำหรับผู้หญิงหลายคนกลับกลายเป็นเรื่องที่ต้องเลือกระหว่าง ‘ลูก’ และ ‘การทำงาน’
แต่เธอเห็นต่างออกไปว่า ไม่ใช่แม่ทุกคนที่จะสามารถเลือกได้ หลายคนต้องทำบทบาทหน้าที่ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน ด้วยปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้การมีสวัสดิการและการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีบุตรจึงสำคัญ
ดังนั้น ประสบการณ์จากการเป็นแม่ ทำให้พุธิตาอยากผลักดันนโยบายสวัสดิการเพื่อเด็กเล็กและคุณแม่ที่เป็นแรงงาน เช่น นโยบายขยายวันลาคลอดเป็น 180 วัน โดยที่คุณพ่อและแม่สามารถแบ่งวันลาคลอดกันได้ และนโยบายศูนย์เลี้ยงเด็กอ่อนใกล้บ้าน รวมถึงห้องให้นมหรือห้องปั๊มนมในที่ทำงาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนกล้าที่จะมีลูกมากขึ้น และยังเป็นการเพิ่มจำนวนประชากรในประเทศไทยให้มีจำนวนมากขึ้นอีกด้วย
“สิ่งเหล่านี้สมควรมีมาตั้งนานแล้ว เพราะในต่างประเทศมีนโยบายที่บังคับให้สถานประกอบการ นายจ้าง ต้องเตรียมสวัสดิการต่างๆ สำหรับผู้เป็นแม่”
3. พบปัญหาอะไรเพิ่มเติมจากการลงพื้นที่หาเสียง
“ปัญหาในพื้นที่มีเยอะมาก ทั้งปัญหาเรื่องถนนหนทางที่มีฝุ่นและควัน หรือบางพื้นที่ประสบกับน้ำประปาไม่ไหล ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือบางหมู่บ้านต้องจ่ายค่าไฟมากกว่าบ้านของคนปกติทั่วไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็ล้วนเกิดจาก ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ”
พุธิตาเล่าเสริมว่า บางครั้งก็อาจเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำจากการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะหลังจากลงพื้นที่ไปในบางหมู่บ้าน เธอก็พบกับกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งพวกเขาไม่ได้พึ่งย้ายมาตั้งถิ่นฐานแถวนี้ เนื่องจากหลายคนมีบัตรประชาชนที่เป็นการยืนยันว่าพวกเขาเป็นพลเมืองไทยแล้ว แต่พวกเขากลับไม่สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคอย่างเท่าเทียม
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของตัวแทนประชาชนที่จะต้องเข้าไปแก้ไข เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน โดยทางพรรคก้าวไกลจะแก้ไขด้วยนโยบายกระจายอำนาจ เพราะเมื่อท้องถิ่นมีอำนาจเต็มที่แล้ว รวมทั้งมีงบเพียงพอ ข้ออ้างที่บอกว่าไม่มีงบประมาณ หรืองบประมาณเข้าไม่ถึงก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ พุธิตายังเล่าสิ่งที่สะเทือนใจจากการลงพื้นที่ของเธอมากที่สุด คือปัญหาเรื่องฝุ่น pm 2.5 ใน จ.เชียงใหม่ที่สูงเกินมาตรฐาน
“ในช่วงวิกฤติฝุ่น pm 2.5 หนักๆ ลูกเราต้องอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เปิดเครื่องฟอกอากาศ ทำให้ลูกเราต้องเสียเสรีภาพที่จะได้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกตามประสาเด็กไป แต่เราก็มีนึกถึงเด็กคนอื่นๆ ที่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้เลย หลายๆ คนต้องทนอยู่กับฝุ่น อยู่กับควัน ซึ่งที่เราไปลงพื้นที่มาแล้วพบว่า บ้านหลายหลังไม่มีแอร์ ทำให้ไม่สามารถปิดหน้าต่างได้ และเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาก็คงไม่มีเครื่องฟอกอากาศเช่นกัน”
“แล้วยิ่งผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงที่เราพบว่า ในช่วงหน้าร้อนคนกลุ่มนี้มักจะออกมานอนข้างนอก เช่น ระเบียงหรือหน้าบ้าน ถึงแม้ว่าจะมีค่าฝุ่นหรือควันที่สูงเกินมาตรฐาน เพราะพวกเขาทำอะไรไม่ได้ จุดนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกโกรธ และคิดว่ารัฐบาลจะเพิกเฉยไม่ได้ โดยบางครั้งเราก็แนะนำให้พวกเขากลับเข้าบ้าน แต่เราก็มาคิดว่าแล้วยังไงต่อ เพราะพวกเขาก็ไม่สามารถปิดหน้าต่างหรือมีเงินซื้อแอร์อยู่ดี”
ยิ่งไปกว่านั้น พุธิตายังอ้างถึงคลิปที่เธอเจอกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตลาดแห่งหนึ่ง ในจ. เชียงใหม่ เธอระบุว่า ในเวลานั้นเธอตะโกนพูดไปด้วยว่า รัฐบาลไม่สมควรเพิกเฉยต่อปัญหา pm 2.5 และควรเร่งแก้ไขปัญหาได้แล้ว เช่น การเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน หรือการใช้กฎหมายอย่างเอาจริงเอาจังกับกลุ่มนายทุนที่รับซื้อข้าวโพดกับประเทศเพื่อนบ้าน
4. ทำอย่างไรถึงจะลบภาพจำงูเห่าในเชียงใหม่?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งยังคงรู้สึกไม่พอใจต่อเหตุการณ์ในครั้งนั้น ที่ ส.ส. เขตหนึ่งจากพรรคอนาคตใหม่ ใน จ.เชียงใหม่ ย้ายพรรคหลังได้รับตำแหน่งไม่นาน
พุธิตา กล่าวว่า ประเด็นนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจสมัครเป็น ส.ส. ใน จ.เชียงใหม่ เพราะเธอเชื่อว่า ถ้าได้เข้าไปทำงาน เธอจะไม่หักหลังประชาชนอย่างแน่นอน และก็เชื่อว่าทั้งทางผู้สมัครใน จ.เชียงใหม่และในพื้นที่อื่นๆ ของพรรคก้าวไกล ก็ต่างผ่านกระบวนคัดเลือกอย่างละเอียดและรอบคอบขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสรุปแล้ว เธออยากให้ประชาชนมั่นใจว่า พรรคก้าวไกลทำเต็มที่ในเรื่องของการคัดเลือกคนที่เข้ามาทำงานในพรรค
ไม่เพียงเท่านี้ ที่ผ่านผู้สมัคร ส.ส. ใน จ.เชียงใหม่ก็ทำงานกันหนักมาก ดังนั้น ประชาชนน่าจะเห็นผลงานและเห็นความตั้งใจของเรา ทำให้ในตอนนี้เธอเชื่อว่า ภาพจำดังกล่าวค่อยๆ หายไปแล้ว
“เราคิดว่ากระแสการเลือกตั้งในครั้งนี้ประชาชนค่อนข้างตื่นตัว โดยเฉพาะกลุ่มของคนรุ่นใหม่ เราเชื่อในวิจารณญาณของประชาชน แต่สิ่งที่เรากังวลที่สุดก็คือ การโกงการเลือกตั้ง เราเลยอยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันจับตาดูการเลือกตั้งในครั้งนี้ และอยากให้ผู้ที่มีสิทธิในการเลือกตั้งออกไปใช้สิทธิในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เพราะเราเชื่ออนาคตประเทศไทยอยู่ในมือของทุกคน” พุธิตากล่าวปิดท้าย