เวทีดีเบตดุเดือดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านการศึกษาและสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนที่จัดขึ้นโดยนักเรียนเลวเพิ่งจบลงไปไม่นาน ซึ่งเราจะมาสรุปให้อีกครั้งว่าตัวแทนนักการเมืองของแต่พรรคแสดงวิสัยทัศน์อะไรกันไปบ้าง
โดยเราจะสรุปช่วงที่ 2 ของดีเบตในหัวข้อ “ปัญหาของนักเรียนไทยคืออะไร (What’s the Problem?)” อย่างกระชับ ซึ่งกติกาของช่วงนี้ คือ ให้แคนดิเดตแต่ละคนทายว่า ‘อะไรคือปัญหาที่เด็กไทยพูดมาที่สุด 8 อันดับแรก’ โดยเวทีนี้ จะมีตัวแทนพรรคการเมืองจากทั้ง 6 พรรค มาเข้าร่วม
– เริ่มที่ ณภัทร ชวนรำลึก พรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า ปัญหาเครื่องแบบนักเรียน ซึ่งอยู่ในปัญหาลำดับที่ 7 ที่เด็กไทยพูดถึงประมาณ 6.2 เปอร์เซ็นต์
– วรงค์ เดชกิจวิกรม พรรคไทยภักดี ตอบว่า ปัญหาคุณภาพการศึกษา เพราะคิดว่าหลักสูตรมีปัญหา ปรากฎว่าคำตอบนี้อยู่อันดับที่ 1 ที่นักเรียนพูดถึงมากที่สุดถึง 34.7 เปอร์เซ็นต์
– กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ปัญหาความเหลื้อมล้ำของการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งปัญหานี้อยู่ในอันดับที่ 2 ด้วย 12.9 เปอร์เซนต์
– วรนัยน์ วาณิชกะ พรรคชาติพัฒนากล้า ระบุว่า ปัญหาความล้าหลังของบทเรียน ทำให้เด็กท้อกับการศึกษา ซึ่งไม่มีอยู่ในโพล 8 ข้อ แต่ก็ถือเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน
– ธีราภา ไพโรหกุล พรรคเพื่อไทย ตอบว่า ปัญหาอำนาจนิยมในโรงเรียน ที่ครูและนักเรียนไม่เท่าเทียมกัน และกฎเกณฑ์ที่กดทับเด็กทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งปัญหานี้อยู่ในอันดับที่ 3 ที่มีการพูดถึงประมาณ 12.1 เปอร์เซ็นต์
– ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ พรรคไทยสร้างไทย ตอบว่า ปัญหาทรงผม ซึ่งเธอคิดว่า ทรงผมอะไรก็เรียนได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งมีการกล่าวถึง 8.8 เปอร์เซนต์
นอกจากนี้ แต่ละพรรคยังกล่าวถึงปัญหาอื่นๆ อีกมายมายที่เกิดขึ้นกับนักเรียนไทยอย่าง หลักสูตรการเรียนไม่สอนให้คิดวิเคราะห์, ปัญหาสุขภาพจิต, ครูไม่มีคุณภาพ และเวลาเรียนที่มากจนเกินไป
ถัดมาช่วงที่ 3 คือ ทดสอบก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรี (Pre-Test) กติกาก็คือ แคนดิเดตแต่ละคนจะได้รับข้อสอบคนละ 1 ชุด มี 10 ข้อ และ 2 ตัวเลือก เพื่อวัดทัศนคติของแคนดิเดตแต่ละคน โดยเราจะสรุปให้แบบสั้นๆ
เริ่มต้นที่พรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยกับข้อที่ให้โรงเรียนกำหนดทรงผมของนักเรียน กุลธิดาระบุว่า โรงเรียนไม่มีสิทธิละเมิดเด็ก และเรื่องนี้เด็กควรมีส่วมร่วมในการแสดงออกทางความคิดเห็น แต่วรงค์ พรรคไทยภักดีโต้กลับว่า ยังอยากให้รักษาวินัยเด็กให้เด็ก (อนุบาล-มัธยม) เพื่อให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม
ต่อมา พรรคไทยภักดีเห็นด้วยที่ว่า นักเรียนยังต้องแต่งกายด้วยชุดนักเรียนอยู่ เพื่อให้เกิดความมีระเบียบวินัย แต่วรนัยน์ จากพรรคชาติพัฒนากล้ากล่าวว่า ไม่เห็นด้วยพร้อมแย้งว่า การฝึกวินัยไม่เกี่ยวกับเครื่องแบบ
นอกจากนี้ ยังมีข้อที่พรรคไทยภักดีไม่เห็นด้วยอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งก็คือเรื่อน้องหยกที่ถูกจับขังด้วยข้อหา 112 โดยชี้ว่า เด็กอาจจะถูกชังจูง โดยตัวแทนจากพรรคการเมืองคนอื่นๆ ก็โต้ว่า สิ่งที่หยกทำเป็นสิทธิเสรีภาพ
เราขอข้ามมาช่วงที่ 5 กันเลย ซึ่งช่วงนี้ คือ ศึกประชันวิสัยทัศน์ (The Debate) โดยจะมีกติกาให้แคนดิเดตทั้ง 6 คน จะถูกจับคู่ด้วยวิธีการสุ่มออกเป็นทั้งหมด 3 คู่ โดยแต่ละคู่ต้องออกมาแสดงวิสัยทัศน์กันในประเด็นคำถามที่ถูกรวบรวมภายในงาน ซึ่งแคนดิเดตแต่ละคนจะมีเวลา 2 นาทีในการแสดงวิสัยทัศน์ และมีเวลาเพิ่มเติมอีก 1 นาทีในการใช้สิทธิพาดพิง เมื่อสิ้นสุดการแสดงวิสัยทัศน์ของทั้ง 3 คู่ ในครั้งแรกแล้ว ก็จะทำการสุ่มแคนดิเดตใหม่อีกครั้ง เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ในรอบที่ 2
1. เริ่มที่คู่แรก พรรคก้าวไกล VS ไทยสร้างไทย ที่ถูกถามด้วยคำถาม “หากมีการชุมนุมแบบเยาวชนทะลุแก๊ซ จนเกิดการสูญเสียระหว่างที่คุณเป็นรัฐบาล คุณจะรับมืออย่างไร?”
กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ พรรคก้าวไกล มีโอกาสตอบก่อน โดยกล่าวว่า “การจัดการผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลก้าวไกล แต่หากเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ รัฐก็ต้องออกมารับผิดชอบกับผู้ที่สูญเสีย ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย และสิ่งที่เราเห็นมาตลอดคือ ฝ่ายรัฐฯ ปราศจากการรับผิดรับชอบต่อกรณีที่ใช้ความรุนแรงกับผุ้ชุมนุมมาโดยตลอด ดังนั้น ความรับผิดชอบของทุกๆ ฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเกิดเหตุก็ต้องสืบสวนหรือหาความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย และถ้าต้นเหตุมาจากรัฐบาล รัฐฯ ก็ต้องรับผิดชอบ และสรุปว่า ‘รัฐบาลก้าวไกลจะไม่ใช่ความรุนแรง’ ”
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ พรรคไทยสร้างไทย ตอบคำถามต่อว่า “ถ้าเกิดการชุมนุมและเหตุการณ์รุนแรง อย่างแรกสิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ หยุดความรุนแรงทันที เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย และอย่างที่สองที่รัฐบาลต้องทำเลย นั่นก็คือการเป็นกลางต่อผู้เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ ก็ต่างต้องได้รับความช่วยเหลือออย่างเร่งด่วน ทางพรรคเราให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าใคร มาจากไหน ทุกคนต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้รัฐยังมีหน้าที่สืบสวน หาต้นตอและสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝ่ายรัฐมักจะมีสิทธิพูดมากกว่าประชาชน และต้องมีพื้นที่ให้เจรจาและหาทางแก้ปัญหากัน”
กลับมาที่พรรคก้าวไกล กุลธิดา กล่าวว่า “ที่สุดแล้วการชุมนุมเกิดขึ้นเพราะเสียงของประชาชนไม่ถูกรับฟัง รัฐบาลก้าวไกลต้องการให้เสียงของประชาชนถูกรับฟังโดยนักการเมือง และนำเข้ามาในพื้นที่รัฐสภาเพื่อที่จะเจรจาและแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และประเด็นที่ยังไปไม่ถึงรัฐสภา ต้องเข้าถึงรัฐสภาโดยบริหารจัดการอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยมีตัวแทนประชาชนเป็นผู้ชี้แจง”
ธิดารัตน์ พรรคไทยสร้างไทย ระบุปิดท้ายว่า “เห็นด้วยในเรื่องที่นำประชาชนเข้ามาอยู่ในกระบวนการของรัฐสภา และคิดว่าที่ผู้คนแต่ละฝั่งเกิดความเห็นที่ต่างกันอย่างรุนแรง เพราะว่าไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้พูดคุยกันในหลักการเหตุและผล ดังนั้น รัฐบาลต้องเป็นกลางก่อน”
2. ชาติไทยพัฒนา VS ชาติพัฒนากล้า ซึ่งคำถามที่ต้องดีเบตกัน คือ “‘เด็กดี’ ในทัศนะของคุณเป็นอย่างไร?”
ณภัทร ชวนรำลึก ชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับเขาไม่มีคำว่า ‘เด็กดี’ หรือ ‘เด็กไม่ดี’ เด็กก็คือเด็ก ในหน้าที่ของตัวแทนประชาชนต้องดูแลทุกคน ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ไม่ว่าเด็กจะเป็นอย่างไร เรามีหน้าที่ต้องรับฟังและดูแล ซึ่งเสียงของเด็กคือสิ่งที่พวกเขาต้องการแสดงออก ดังนั้น เราจึงมีหน้าที่ช่วยส่งเสริมให้เสียงของพวกเขาเป็นที่ได้ยิน”
วรนัยน์ วาณิชกะ ชาติพัฒนากล้า ระบุต่อว่า “ในโลกนี้ไม่มีคนดีหรือคนเลว แต่ทุกคนในโลกนี้มีทั้งความดีและความเลวอยู่ในตัว แล้วแต่ว่าเราจะแสดงอะไรออกไป และในบริบทการเมือง เรามักจะเห็นความเลวแสดงออกมา เพราะว่าอำนาจมันยั่วยวน อำนาจมันคือกิเลสตัณหา อำนาจที่คิดว่าตัวเองดี หรือคนที่คิดว่าสังคมคิดว่าดี ก็เลยทุจริตได้”
พร้อมเสริมว่า “ในระบบประชาธิปไตยเราจึงมีการตรวจสอบ เราจึงมีความสมดุลทางอำนาจ มีฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล สื่อ ประชาชนที่ตรวจสอบได้ เพราะเราตระหนักว่า ไม่มีคนดีหรือคนเลว แต่มีมนุษย์ที่ทำได้ทั้งความดีและความเลวขึ้นอยู่กับกิเลสตัณหา ดังนั้น เด็กดี ผู้ใหญ่ดี เป็นเพียงแค่วาทกรรมของโลกมายาที่สร้างขึ้นมาที่มีการเรียก ‘เด็กดี’ เพราะพวกเขาเชื่อฟัง ยอมก้มหัวให้ แต่คนที่เลว คือคนที่ตั้งคำถาม ไมยอม เป็นตัวของตัวเอง สรุปแล้วมนุษย์มีทั้งดีและเลว”
ณภัทร ชาติไทยพัฒนา พูดต่อว่า “เห็นด้วยกับประเด็นที่วรนัยน์พูดมา เพราะเราต้องไหลตามความต้องการของประชาชน เราสนับสนุนแนวคิดหรือนโยบายที่ดี ถึงแม้จะมีวิธีการกระทำที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเสรีนิยม สังคมนิยม หรือเผด็จการ แต่เราต้องมองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก”
วรนัยน์ ชาติพัฒนากล้า รีบโต้กลับประเด็นเผด็จการว่า “เผด็จการไม่ใช่ทางเลือก เพราะเผด็จการไม่ให้เราเลือก เผด็จการมาพร้อมปืน พร้อมรถถัง และทำประชามติภายใต้ระบอบปืน คนไม่เห็นด้วยก็เข้าคุก และยัง 250 ส.ว. ที่มีสิทธิแต่งตั้งนายกฯ และเผด็จการยังหน้าด้านเรียกว่าประชาธิปไตยอีก เพราะเผด็จการเป็นทางเลือกที่โง่เกินไปที่จะเข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร ดังนั้น เผด็จการก็ไม่สมควรถูกเป็นทางเลือกของประชาชน”
3. พรรคเพื่อไทย VS พรรคไทยภักดี ซึ่งหัวข้อที่ทั้งคู่ได้ดีเบต คือ “จากกรณีการจับกุมน้องหยก นักกิจกรรมอายุ 15 เป็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมหรือไม่?”
วรงค์ เดชกิจวิกรม พรรคไทยภักดี กล่าวว่า “มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่มีเหตุและผลแล้วแต่สถานการณ์ แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีกระบวนการล้มล้างในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา กระบวนการเหล่านี้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องหยก เห็นภาพไหมว่า น้องเขาเขียนอะไร ในสถานการณ์ตอนนี้การตรวจสอบชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มันมีโฆษณาชวนเชื่อว่าเด็กถูกรังแก”
“และผมมีหลักฐานว่าน้องเขากระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ทำให้ต้องถูกดำเนินคดี เพียงแต่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพยายามรณรงค์ว่าเด็กถูกรังแก เพราะการเอาเด็กมาเป็นเครื่องมือ นอกจากนี้ ประเด็นนี้ยังเป็นเหยื่ออันโอชะของต่างชาติที่มองว่าประเทศไทยใช้กฎหมายที่มิชอบ แต่ผมยืนยันว่าประเทศไทยใช้กฎหมายที่ถูกต้อง ชอบธรรม แต่คนกลุ่มหนึ่งหวังประโยชน์จากเด็ก เอามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด” เขากล่าวปิดท้าย
ธีราภา ไพโรหกุล พรรคเพื่อไทย ระบุว่า “ประเด็นแรกไม่เห็นด้วยกับหมอวรงค์ การที่บอกว่าเอาเด็กมาเป็นตัวประกันทางการเมืองไม่ถูกต้องแน่นอน ซึ่งการที่เด็กออกมาแสดงความเห็นของเขา นั่นคือเสรีภาพ การที่ถูกจับกุมและบอกว่าไม่มีใครไปประกันตัว ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมืองใดเลยที่จะใช้เด็กเป็นเครื่องมือ”
เธอพูดต่อว่า “แต่เกิดจากกระบวนการที่ยุติธรรมที่ซับซ้อน จนให้เด็กต้องถูกจับ และประเด็นที่ต่อมา น้องเขาจะออกมาเขียนอะไร นั่นคือเสรีภาพทางความคิด และที่สำคัญไม่ใช่แค่น้องคนเดียวที่ออกมา ฝั่งตรงข้ามเองก็ออกมาเขียนด่าทอเด็กเช่นกัน แล้วทำไมคนกลุ่มนั้นถึงไม่ถูกดำเนินคดีเหมือนกัน ดังนั้น จุดยืนของเราและพรรคเพื่อไทยถึงแตกต่าง จงหยุดวาทกรรมที่บอกว่า เราเอาเด็กมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเถอะ เราต้องสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของเด็ก และจะต้องไม่ทำให้เด็กถูกจับอีกต่อไป”
วรงค์ โต้กลับว่า “เห็นด้วยว่าทุกคนต้องมีเสรีภาพ แต่ต้องรู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ยังเห็นถึงความตั้งใจที่ไม่มีใครไปประกันตัว”
“เราคิดว่ามันไม่ใช่ว่าเราไม่เข้าใจ แต่ที่เราเข้าใจ คือ มันเป็นสิทธิมนุษยชนของพื้นฐานสากล เพราะยังคิดอยู่ในกรอบ เหตุนี้ประเทศเราถึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิมนุษยชนของสากลได้” ธีราภาพูดปิดท้าย
4. ต่อมารอบที่ 2 ชาติไทยพัฒนา VS ไทยภักดี ถูกถามว่า “หลักสูตรการสอนสังคมและประวัติศาสตร์ในปัจจุบันที่มุ่งเน้นไปที่สถาบันหลักของชาติ ควรได้รับการปรับปรุงหรือไม่?”
วรงค์ พรรคไทยภักดี ระบุว่า “การใช้มาตรา 112 เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ที่เคยมีการกลั่นแกล้งรังแกกันจริง จึงเป็นที่มาของพระราชดำรัสของในหลวงว่า “สถาบันวิจารณ์ได้ แต่ต้องวิจารณ์อย่างถูกต้อง” ดังนั้น ผมต้องการอธิบายว่า มีการใช้มาตรา 112 ในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณกับคุณสนธิ ผมเล่าเหตุการณ์นี้เพราะสถาบัน คือ ศูนย์ร่วมจิตใจของประชาชนในประเทศ บางครั้งก็มีนักการเมืองนำกฎหมายนี้ไปกลั่นแกล้งประชาชน แต่สถานการณ์ตอนนี้มันคนละบริบท เพราะตอนนี้มีความคิดที่ต้องการล้มสถาบัน ดังนั้น มาตรา 112 กับประวัติศาสตร์จึงต้องดำรงไว้ เพื่อชี้ความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ”
ณภัทร ชวนรำลึก พรรคชาติไทยพัฒนา ตอบคำถามนี้ว่า “หลักสูตรประวัติศาสตร์ควรมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้ากับบริบททางสังคมในปัจจุบัน คือ ตามหลักประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ แต่ผมคิดว่าทุกคนคงรู้ว่า กษัตริย์เป็นประมุขของชาติ ดังนั้น เราควรให้ประมุขอยุ่ในตำแหน่งของประมุข อย่าดึงท่านลงมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เรามีหลายเรื่องให้เราภูมิใจได้ ไม่ใช่ผูกมัดอยู่กับแค่สถาบันใดสถาบันหนึ่ง ทั้งนี้ ประวัติศาสตร์ต้องอยู่ในหลักของการตั้งคำถามได้”
วรงค์ พรรคไทยภักดี ระบุเสริมว่า “สถาบันไม่ได้สร้างปัญหาให้กับประเทศ แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจให้เราเป็นหนึ่ง ดังนั้น ถ้ามีกระบวนการที่จ้องเล่นงานสถานบัน นั่นคือสิ่งที่อันตราย นอกจากนี้ ทำไมเวทีนี้ถึงดึงสถาบันลงมาให้ประชาชนเกิดข้อกังหาและสงสัย”
ชาติไทยพัฒนา รีบโต้กลับว่า “สถาบันอยู่ดีๆ อย่าไปยุ่งกับท่าน ไม่มีใครล้มล้างสถาบัน เพราะผมก็ยังดูข่าวพระราชสำนักตอน 2 ทุ่มเหมือนเดิม สถาบันยังไม่ไปไหน”
5. ชาติพัฒนากล้า VS ไทยสร้างไทย ถูกถามด้วยคำถาม “การประท้วงด้วยวิธีการนัดหยุดเรียน (Strike) เป็นสิ่งที่นักเรียนควรทำหรือไม่?”
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า “ประเด็นแรกกรณีนี้ต่างประเทศทำเยอะ แล้วก็ไม่ใช่แค่สถานศึกษาด้วย ซึ่งเป็นตามหลักประชาธิปไตย แต่ผลเสีย คือ จะกระทบกับการเรียน แต่ถ้ามีการสื่อสารกับทางโรงเรียนแล้ว ก็ถือว่าทำได้ แต่ถ้ามีวิธีอื่นอย่าง มานั่งคุยหรือเจรจากันได้ ก็เห็นด้วยมากกว่า”
วรนัยน์ วาณิชกะ พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า “เรื่อง Strike เป็นสิทธิที่ทุกคนควรทำ ถ้าจำเป็น โดยทางนักเรียนไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่า ตัวเองจะต้องสูญเสียเวลาเรียน เพราะเหตุผลที่พวกเขานัดหยุดเรียน ก็เกิดจากปัญหาบทเรียนที่พวกเขาคิดว่าไม่มีประโยชน์ มันเป็นการอารยะขัดขืนเพื่อให้เกิดการพูดคุยและหาทางออก”
ธิดารัตน์ พูดเสริมว่า “โรงเรียนรัฐอาจจะไม่สนใจ แต่โรงเรียนเอกชนมักจะมีการประเมินครู อาจจะมีผลกระทบ ดังนั้น อาจจะหาวิธีอย่างการประเมินครูโดยนักเรียนแทนน่าจะดีกว่า”
วรนัยน์ โต้ว่า “การที่เด็กกังวลว่า การนัดหยุดเรียนจะกระทบกับใคร อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ผมเชื่อว่าคนกลุ่มหนึ่งที่ยอมออกมานัดหยุดประท้วง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้สำคัญสำหรับพวกเขา และทุกคนมีสิทธิสู้อย่างสันติ”
6. พรรคเพื่อไทย VS ก้าวไกล ซึ่งคำถามที่ต้องดีเบตกัน คือ “พรรคที่เคยเป็นรัฐบาลมาก่อนจะช่วยสร้างความมั่นใจในการปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จได้มากกว่าพรรคที่ไม่เคยเป็นรัฐบาลหรือไม่?”
ธีราภา ไพโรหกุล พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “ไม่มีใครตอบได้อย่างแท้จริง แต่เราคิดว่าควรให้โอกาสพรรคที่ไม่เคยทำให้มาร่วมทำงานกับพรรคที่มีประสบการณ์ เพราะประสบการณ์กับความคิดคนรุ่นใหม่ควรเป็นหนึ่งกันได้แล้ว”
กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ พรรคก้าวไกล ระบุว่า “การปฏิรูปการศึกษาไทยที่ผ่านมาแทบจะไม่มีเจตจำนงค์ทางการเมืองที่จริงจังมาปฏิรูปการศึกษาเลย ซึ่งหลายครั้งเป็นเรื่องของผลประโยชน์มากกว่า ดังนั้น ควรมีพรรคการเมืองหน้าใหม่ที่เข้ามาทำงานเพื่อที่จะใช้เลนส์ใหม่ในการปฏิรูปการศึกษา โดยการแก้ระบบต่างๆ ทั้งนี้ จะมีประสบการณ์หรือไม่ ให้มองที่ข้อเสนอ ศักยภาพ ของพรรคการเมืองนั่นๆ”
ธีราภา พรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า “พรรคเพื่อไทย คือ พรรคที่ทำได้ ทำจริง ทำสำเร็จมาแล้ว เรื่องของการปฏิรูปการศึกษา ในสมัยเพื่อไทยมีหลายเรื่องที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ”
“ต้องปฏิรูปการศึกษา โดยการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น พรรคการเมืองต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการศึกษาจะต้องทำเป็นองค์รวม ไม่สามารถแก้ไขเฉพาะที่กระทรวงการศึกษาอย่างเดียว เพราะเราเชื่อว่าการแก้ไขปัญหานี้ หลายกระทรวงต้องช่วยๆ กัน” กุลธิดา พรรคก้าวไกล กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ ตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างย้ำให้ประชาชนทุกคนอย่าลืมออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ (7 พฤษภาคม) และ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้