“ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก”
นี่คือส่วนหนึ่งจากประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 มรดกจากปี 2475 ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง
เนื่องในวันเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองวนกลับมาอีกรอบ ในวันนี้ The MATTER จึงอยากจะขอพาทุกคนย้อนอดีตกลับไปในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เพื่อร่วมกันสำรวจเหตุการณ์สำคัญในการอภิวัฒน์สยาม ด้วยแนวคิดที่ต้องการให้กษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายสูงสุดอย่าง ‘รัฐธรมมนูญ’
ประวัติศาสตร์ฉากใหม่ของสยามเริ่มต้นขึ้นในช่วงย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 หลังมีกลุ่มนายทหารบก นายทหารเรือ และกลุ่มข้าราชการพลเรือนในนาม ‘คณะราษฎร’ เข้ายึดอำนาจและจับกลุ่มเจ้านายชั้นผู้ใหญ่เป็นตัวประกัน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ที่อยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เสื่อมโทรม
แต่ก่อนจะไปไกลกว่านี้ เราขอเล่าถึงกลุ่มคณะราษฎรกันก่อน
คณะราษฎร ก่อตัวขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2469 โดยนักเรียนและข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศส อังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ในขณะนั้น ซึ่งต่อมาสมาชิกของกลุ่มคณะราษฎรเหล่านี้ก็ทยอยกันกลับมาที่สยาม และเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ
กลุ่มคนในคณะราษฎรที่มีบทบาทสำคัญต่อภารกิจครั้งนี้ ก็คือกลุ่มของนักกฎหมายที่รับหน้าที่ร่างแถลงการณ์และร่างพระธรรมนูญการปกครอง ส่วนอีกกลุ่มก็คือกลุ่มของทหารที่ต้องการเปลี่ยนแปลง เพราะเห็นว่าบ้านเมืองอ่อนแอ และพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่สามารถทำให้ชาติเจริญรุ่งเรืองได้
ในตอนนั้น ฝั่งทหารยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีกฎหมายเป็นเครื่องนำทาง เนื่องจากเป็นแนวคิดเดียวที่จะสามารถเชิดชูให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อยู่เหนือ หรือเทียบเคียงกับกษัตริย์ได้ ทหารจึงเข้าร่วมการปฏิวัติในครั้งนี้ด้วย โดยไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ของฝ่ายกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ อาจเรียกได้ว่าทั้งฝ่ายทหารและนักกฎหมายก็มีแนวคิด ในลักษณะที่ว่าบุคคลต้องมีความเสมอภาคกันในระดับหนึ่งก่อนอย่างน้อยในทางการเมือง และในทางนามธรรมสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่ามีความสำคัญสูงสุดก็คือกฎหมายหรือชาติ จึงนับได้ว่าหลักการในเบื้องต้นของทั้ง 2 ฝ่ายตรงกัน แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้ตกลงร่วมกันก็คือเรื่องในระดับสังคมและเศรษฐกิจ เพราะสมาชิกมองว่ายังไม่ใช่เวลาอันควร จึงผัดผ่อนหัวข้อนี้ออกไป ซึ่งก็จะเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมาอีกในภายหลังจากการอภิวัฒน์สยามครั้งนี้
ในปี 2475 เมื่อกลุ่มคณะราษฎรได้จัดประชุมระดับหัวหน้าหลายต่อหลายครั้ง ก็ก่อให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะถูกจับกุม สมาชิกจึงตัดสินใจว่าจะยึดอำนาจโดยเร็วที่สุด ซึ่งแผนการในตอนนั้น เริ่มจากการถกเถียงของกลุ่มนายทหาร 4 คนสำคัญของคณะราษฎร หรือ “สี่ทหารเสือ” อันประกอบไปด้วย ‘พระยาทรงสุรเดช’ ‘พระยาพหลพลพยุหเสนา’ ‘พระประศาสน์พิทยายุทธ’ และ ‘พระยาฤทธิอัคเนย์’ ซึ่งไม่มีใครกุมทหารไว้ในกำมือเลย ยกเว้นพระยาฤทธิอัคเนย์คนเดียวที่มีอำนาจสั่งการทหารในบังคับบัญชา แต่ก็มีเพียง 2 กองพัน (รวม 4 กองร้อย) เฉพาะในสังกัดกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์เท่านั้น
พระยาทรงสุรเดช เสนอแผนจู่โจมและบุกวังเพื่อเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มาอยู่ในการควบคุม แต่พระยาฤทธิอัคเนย์คัดค้าน เพราะไม่อยากให้เกิดการนองเลือดขึ้น ทั้งมองว่าการบุกเข้าไปเลยยังต้องเสียเวลาปะทะ พร้อมบอกว่าถ้าไม่เห็นด้วยกับแผนนี้ ตนก็จะไม่เข้าร่วม
กระทั่ง ‘หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม’ (ปรีดี พนมยงค์) เข้ามาได้ยินแผนการของพระยาฤทธิอัคเนย์ จึงสนับสนุนให้ใช้แผนการที่ไม่ต้องเกิดการปะทะ แต่ทหารอีก 3 นายในที่ประชุมตอนนั้นก็เกิดข้อกังวลว่าพระยาฤทธิอัคเนย์จะแปรพักตร์แล้วแผนการจะรั่วไหล จึงวางแผนกันเพียง 3 คนโดยอิงตามแนวคิดของพระยาฤทธิอัคเนย์ จนเกิดข้อสรุปที่จะนำกำลังทหารออกมาด้วยแผนการลวงว่า เกิดกบฏในกรุงเทพฯ แล้วให้ไปรวมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า จากนั้นก็จะอ่านประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครอง และดำเนินการขั้นอื่นต่อไป โดยจะให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงพระทับอยู่ที่วังไกลกังวล ที่หัวหินเสียก่อน จึงจะเริ่มปฏิบัติการณ์
ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า คณะราษฎรไม่ได้มีทหารอยู่ในมือเลย อีกทั้งพระยาทรงสุรเดชก็ไม่บอกแผนการปฏิวัติโดยละเอียด เพียงแต่มอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคนไปปฏิบัติ จึงทำให้ผู้ที่ร่วมภารกิจในครั้งนี้กังวลถึงผลลัพธ์ที่จะออกมา ซึ่งพระยาทรงสุรเดชก็บอกไปตามความจริงว่า “เวลานี้ยังไม่มีอะไรเลย นอกจากพวกเราที่มาประชุมและเห็นๆ กันอยู่ไม่เกิน 20 คน กับกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 แต่ในวันที่ 24 เราจะได้เห็นทหารกรุงเทพฯ ทั้งหมด เวลา 5.00 น. เราจะมีกำลังพร้อมและลงมือได้”
แผนการในครั้งนี้ ฝ่ายทหารเริ่มลงมือตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน โดยพระยาทรงสุรเดชทำหนังสือถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา รองจเรทหารบกว่าจะทำการฝึกครั้งสำคัญ คือฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถัง ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 24 มิถุนายน โดยจะใช้นักเรียนนายร้อยทำหน้าที่ทหารราบ และขอกำลังจากกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ มาใช้ในการฝึกด้วย
พระยาพหลพลพยุหเสนาซึ่งรู้แผนการลวงนี้แล้ว ก็อนุมัติและจัดการส่งหนังสือแจ้งไปยังกองพันทหารต่างๆ ในกรุงเทพฯ ว่าให้ส่งนายทหารมาเป็นตัวแทนชมการฝึกครั้งนี้โดยทั่วกัน
ต่อมา ในบ่ายของวันที่ 23 มิถุนายน พระยาทรงสุรเดช มอบหมายให้นายทหารคนสนิท ไปโรงเรียนนายร้อย เขียนกระดานดำประกาศว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 มิถุนายน) เวลา 06.00 น. ให้ครูอาจารย์ไปพร้อมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อทำการฝึกซ้อมรบ และยังให้ไปแจ้งต่อพระเหี้ยมใจหาญว่า ให้นำนักเรียนนายร้อยทั้งหมด พร้อมอาวุธปืนบรรจุกระสุน ไปฝึกซ้อมรบ ณ วันและเวลาดังกล่าว
อีกทั้ง ยังมีการวางแผนตัดการติดต่อสื่อสาร โดย ‘นายร้อยโทประยูร ภมรมนตรี’ หนึ่งในผู้เข้าร่วมปฏิบัติการ ตัดสายโทรเลขกับโทรศัพท์ พร้อมกับนำกองทหารเรือ ซึ่งนำโดย ‘นายเรือเอกหลวงนิเทศ’ ยึดที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลข ทำให้กองกำลังของรัฐบาลไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ในเวลาราว 04.00 น. ของวันที่ 24 มิถุนายน
ในวันที่ 24 มิถุนายน เวลาประมาณ 5.00 น. ภารกิจของการอภิวัฒน์สยาม ก็เริ่มขึ้น โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนาสั่งทหารเวรให้เปิดประตูกรมทหาร พร้อมประกาศว่าเกิดกบฏขึ้นแล้วในพระนคร แล้วจึงเข้าไปปลุกทหารทุกคนในโรงนอนให้ตื่นขึ้นเตรียมพร้อมทันที
เหล่าทหารชั้นผู้น้อยก็เชื่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ด้วยเหตุนี้ นายทหารระดับชั้นนายพันของคณะราษฎรเพียง 3 นาย ก็สามารถระดมกำลังทหารทั้งกรมนับพันนาย ไปรวมพลที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ได้อย่างราบรื่น เช่นเดียวกันกับแผนลวงอื่นๆ ที่ก็สำเร็จไปได้ด้วยดี
ภารกิจนี้จึงเรียกได้ว่า เป็นการจับเสือมือเปล่าเพราะเป็นทั้งหลักประกันว่ากองทหารกรมนี้จะไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการอภิวัฒน์แล้ว ยังสามารถเกลี้ยกล่อมให้กองทหารหลักนี้ร่วมมือกับการอภิวัฒน์ด้วยราว 2,000 คน
อีกด้านหนึ่ง พระประศาสน์พิทยายุทธ์กับคณะ ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนนายร้อยทหารม้า ทหารปืนใหญ่และทหารเรือ ก็จับกุมผู้กุมอำนาจในพระนคร อย่างผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และบุคคลสำคัญคนอื่นๆ รวม 25 ชีวิตเพื่อเป็นข้อต่อรองต่อไป
เมื่อมั่นใจว่าสามารถยึดกุมอำนาจไว้แล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาก็ไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม หน้าพระบรมรูปทรงม้าและต่อหน้าบรรดาทหารหาญในลานพระราชวังดุสิต กล่าวสุนทรพจน์ว่าด้วยสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง พร้อมย้ำว่าจะให้พระมหากษัตริย์ทรงสถิตเสถียรอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างอังกฤษ ไม่ใช่การล้มล้างการปกครองอย่างรัสเซีย พร้อมทั้งยังอ่าน ‘คำประกาศคณะราษฎร’ อีกช่นกัน
ในตอนสายของวันนั้นเอง เมื่อทางด้านหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ทราบแล้วว่าฝ่ายทหารของคณะราษฎรยึดอำนาจรัฐเอาไว้ได้แล้ว เขาจึงแจกจ่าย ‘คำประกาศคณะราษฎร’ มีใจความตอนหนึ่งว่า
“ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง…”
“เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา…”
“คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร”
“คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา…”
พร้อมทั้งประกาศว่าการปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ นโยบายหลัก 6 ประการ ดังต่อไปนี้
1. รักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง การศาล ในทางเศรษฐกิจ
2. รักษาความปลอดภัยในประเทศ
3. บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่
5. ให้ราษฎรมีเสรีภาพ อิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
อย่างไรก็ตามสำหรับเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งซึ่งกลุ่มคณะผู้ก่อการได้ทำในตอนบ่ายของวันนั้นยังมีอีกสองเรื่อง
เรื่องแรกคือการทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเก้าเจ้าอยู่หัวในนามของคณะราษฎร
เรื่องที่สองซึ่งฝ่ายคณะราษฎรดำเนินการโดยทันทีคือการเรียกประชุมคณะเสนาบดีและปลัดทูลฉลองของกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาลในระบบเก่า ระบุว่าไม่ได้ต้องการยกเลิกระบบนี้ แต่ต้องทำงานภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการราษฎรและเรื่องที่สำคัญยิ่งคือการป้องกันประเทศไม่ให้มหาอำนาจเข้าแทรกแซง
ในวันถัดมาคือวันที่ 25 มิถุนายน 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารของคณะราษฎรว่า
“ข้าพเจ้าเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกับทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อมละไม ไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง และความจริงข้าพเจ้าก็ได้คิดอยู่แล้ว ที่จะเปลี่ยนแปลงตามทำนองนี้ คือมีพระเจ้าแผ่นดินตามพระธรรมนูญจึงยอมรับที่จะช่วยเป็นตัวเชิด เพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปวิธีเปลี่ยนแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าไม่ยอมรับเป็นตัวเชิดนานาประเทศก็คงไม่ยอมรับรัฐบาลใหม่นี้ ซึ่งคงจะเป็นความลำบากยิ่งขึ้นหลายประการ…”
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 26 มิถุนายน จากนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนคณะราษฎรเข้าเฝ้า โดยมีการนำร่างกฎหมาย 2 ฉบับขึ้นถวาย คือ ‘พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน’ และ ‘พระราชกำหนดนิรโทษกรรม’
ขณะนั้นยังมิได้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินที่จำกัดพระราชอำนาจ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงยังทรงสามารถที่จะกระทำการใดๆ แทนปวงชนชาวสยามได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีบุคคลที่ได้รับอำนาจให้เป็นตัวแทนของปวงชนชาวสยามเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในทันที แต่ได้ก็ขอตรวจพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม และลงพระปรมาภิไธยในวันที่ 27 มิถุนายน โดยทรงพระอักษรกำกับต่อท้ายชื่อพระราชบัญญัติฉบับนั้นว่า ‘ชั่วคราว’ ซึ่งมีความหมายว่าการจัดรูปการปกครองของระบอบใหม่ ต้องเป็นการประนีประนอมต่อกันระหว่างพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าของอำนาจเดิมกับฝ่ายประชาชน
อ้างอิงจาก
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. (2553). การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน