ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อุณหภูมิขั้วโลกเหนือพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 20 องศาเซลเซียส เหนือระดับเฉลี่ย และสูงกว่าจุดเยือกแข็ง ทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้จะทำให้ทะเลน้ำแข็งละลาย และเร่งให้แถบอาร์กติกอุ่นขึ้น
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 กุมภาพันธ์) อุณหภูมิทางตอนเหนือของสฟาลบาร์ (Svalbard) ประเทศนอร์เวย์ เพิ่มขึ้นถึง 20 องศาเซลเซียส จากค่าเฉลี่ยรายวันของภูมิภาค ที่บันทึกไว้ระหว่างปี 1991 ถึง 2020
หน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (The Copernicus Climate Change Service หรือ C3S) ซึ่งเป็นโครงการของ (European Union หรือ EU) ได้ติดตามและบันทึกอุณหภูมิโลกบริเวณขั้วโลกเหนือ โดยใช้ทุ่นหิมะ (Arctic snow buoy) วัดความลึกและอุณหภูมิของหิมะ พร้อมสร้างแบบจำลองช่วยประเมิน จนบันทึกอุณหภูมิสัมบูรณ์ได้ที่ 0.5 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าจุดเยือกแข็ง
“นี่คือปรากฏการณ์ฤดูหนาวที่อุ่นขึ้น ขั้นรุนแรง” มิคา รันทาเนน (Mika Rantanen) นักวิทยาศาสตร์ จากสถาบันอุตุนิยมวิทยาฟินแลนด์ กล่าวว่า แม้เหตุการณ์นี้จะไม่ได้รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมา แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในแถบอาร์กติก
อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่าเป็นเรื่องยาก ที่จะประเมินการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่แน่นอน เพราะพื้นที่ห่างไกล อย่างอาร์กติกตอนกลาง จะมีจุดสังเกตการณ์โดยตรงน้อยกว่า แต่แบบจำลองที่ใช้ประเมินอุณหภูมิครั้งนี้ ก็บ่งชี้ว่าอุณหภูมิในแถบนี้ผิดปกติ
ด้านจูเลียน นิโคลัส (Julien Nicolas) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจาก C3S อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศของไอซ์แลนด์ ซี่งที่ผ่านมาความกดอากาศต่ำ (deep low-pressure system) เหนือไอซ์แลนด์ ได้ส่งกระแสลมอุ่นไปยังขั้วโลกเหนือ บวกกับอุณหภูมิทะเลที่ร้อนจัด ในมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ยิ่งทำให้กระแสลมดังกล่าว พัดแรงขึ้น
“เหตุการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่เราไม่สามารถประเมินความถี่ของเหตุการณ์นี้ได้ หากไม่ได้ทำการวิเคราะห์เพิ่มเติม” นิโคลัสกล่าวว่า C3S เคยพบเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018
“เราไม่สามารถต่อรองกับข้อเท็จจริงที่ว่าแผ่นน้ำแข็งจะค่อยๆ หายไป ตราบเท่าที่อุณหภูมิยังคงสูงขึ้น” เดิร์ก นอตซ์ (Dirk Notz) นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ จากมหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก กล่าวว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าจุดเยือกแข็งนี้ น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะเหตุการณ์เช่นนี้จะทำให้แผ่นน้ำแข็งละลาย จนเกิดผลกระทบต่างๆ ตามมา
นอตซ์เสริมว่า “เราคาดว่ามหาสมุทรอาร์กติก จะสูญเสียแผ่นน้ำแข็งปกคลุมทะเลในช่วงฤดูร้อนเป็นครั้งแรก ภายในสองทศวรรษข้างหน้า”
“นี่อาจเป็นภูมิประเทศแรกที่หายไป เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า มนุษย์มีบทบาทสำคัญเพียงใด ในการกำหนดความเป็นไปของโลกของเรา” นอตซ์กล่าว
ทั้งนี้งานวิจัยเมื่อปี 2022 ก็ระบุว่าตั้งแต่ปี 1979 อุณหภูมิในแถบอาร์กติกสูงขึ้น ‘เร็วกว่า’ ส่วนอื่นๆ ของโลกราว 4 เท่า โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากน้ำแข็งละลาย
นอกจากนี้ แถบอาร์กติกยังเป็นเหมือนตู้เย็นสำหรับส่วนอื่นๆ ของโลก เพราะช่วยทำให้โลกเย็นลง และหากอุณหภูมิยังคงเพิ่มสูงขึ้นแบบนี้ต่อไป นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลก เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น จนถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนทั่วโลก
อ้างอิงจาก