เข้าสู่วันที่ 4 ของการประท้วงในลอสแองเจลิส โดยช่วงค่ำวานนี้ (9 มิถุนายน 2025) ตามเวลาท้องถิ่น ฌอน พาร์เนลล์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่าจะระดมกองกำลังป้องกันชาติ เพิ่มเติมอีก 2,000 นาย เข้าประจำการ เพื่อรับมือกับการชุมนุมประท้วง ณ เมืองลอสแองเจลิส และสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ของรัฐบาลกลาง (Immigration and Customs Enforcement หรือ ICE)
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นจากอะไร สถานการณ์ขณะนี้กระทบต่อชีวิตผู้อพยพแค่ไหน และจะรุนแรงขึ้นหรือไม่?
จุดเริ่มต้นของการประท้วง
ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ (6 มิถุนายน 2025) ความตึงเครียดเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อ ICE และหน่วยงานอื่นๆ จับกุมผู้อพยพกว่า 44 คน หลังเจ้าหน้าที่เข้าค้นบ้านในหลายพื้นที่ อีกทั้งยังบุกตรวจค้นแรงงานรายวัน บริเวณลานจอดรถของร้าน Home Depot และพนักงานของร้านอื่นๆ เพื่อค้นหา ‘เอกสารพนักงานปลอม’
“มันเจ็บปวดเหลือเกิน ที่ได้เห็นพ่อของฉันและเพื่อนร่วมงานของเขา ถูกจับกุม” ซาราอิ ออร์ติซ (Saraí Ortiz) เล่าว่าพ่อของเธอเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุมเมื่อวันศุกร์ โดยเธอระบุว่า “พ่อของฉันอุทิศชีวิต 18 ปีให้กับบริษัทแห่งนี้ […] พ่ออยู่ที่นี่เสมอ เขาเป็นคนทำงานที่ภักดี”
ขณะที่ข่าวการบุกค้นครั้งนี้กระจายออกไป คนจำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ ICE ทั้งญาติพี่น้องของผู้ที่ถูกควบคุมตัวไป ทั้งชาวเมืองคนอื่นๆ ที่เป็นกังวลกับชะตากรรมของคนเหล่านั้น จนเกิดกระแสต่อต้านอย่างรวดเร็ว โดยฝูงชนพยายามหยุดเจ้าหน้าที่ ICE ไม่ให้ขับรถที่บรรทุกผู้ถูกจับกุมออกไป รวมถึงพยายามขัดขวางเจ้าหน้าที่
“ผมไม่รู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่พาเขาไปที่ไหน” เจโรนิโม มาร์ติเนซ (Jerónimo Martínez) วัย 39 ปี กล่าวถึงหลานชายของเขา ที่ขาดการติดต่อกับครอบครัวไปตั้งแต่วันศุกร์ หลังมีการบุกค้นผู้ออพยพ โดยมาร์ติเนซเล่าว่า ครอบครัวไม่ได้รับข่าวสารจากเจ้าหน้าที่ ICE หรือมีช่องทางติดต่อกับสมาชิกในครอบครัวที่ถูกควบคุมตัวได้
ด้าน คาร์ลอส (นามสมมติ) มองว่าโฮเซ น้องชายของเขาถูก “ลักพาตัว” เนื่องจากเขาถูกนำตัวไปโดยใช้กำลัง อีกทั้งขณะนี้โฮเซถูกควบคุมตัว โดยไม่สามารถติดต่อญาติหรือทนายความได้ ทำให้คาร์ลอสระบุว่า นี่คือคำจำกัดความของการลักพาตัว
“ความผิดเพียงอย่างเดียวที่เขา (โฮเซ) ก่อคือพยายามมีชีวิตที่ดีขึ้น และพยายามก้าวหน้าในการทำงาน” คาร์ลอสกล่าวต่อว่า “เพราะความฝันนั้น ผมต้องเห็นเขาถูกล่ามโซ่ราวกับเป็นสัตว์อันตราย กระบวนการทั้งหมดไม่เพียงแต่ไร้มนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายอีกด้วย”
ความรุนแรงของสถานการณ์
หลังจากนั้นไม่นาน การประท้วงก็ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว โดยผู้ประท้วงรวมตัวกันทั่วบริเวณศูนย์กักขัง (Metropolitan Detention Centre) ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวผู้อพยพก่อนขึ้นพิจารณาคดี รวมถึงมีการปิดทางด่วนหมายเลข 101 (101 Freeway) บางส่วน และในเวลาเดียวกันนี้ ยังมีการชุมนุมกันในเมืองอื่นๆ และรัฐอื่นๆ อีกหลายแห่ง
นอกจากนี้ยังมีการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีรายงานว่าตำรวจใช้กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และสเปรย์พริกไทย เพื่อปราบปรามการประท้วง ซึ่งจนถึงตอนนี้พบรายงานว่า ตำรวจลอสแองเจลิสจับกุมคนไปแล้ว 10 คน และตำรวจทางหลวงแคลิฟอร์เนียจับกุมคนอีก 17 คนบนทางด่วนสาย 101
ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์และสื่อสายอนุรักษ์นิยมหลายแห่ง ได้เรียกการประท้วงครั้งนี้ว่า ‘การจลาจล’ และกล่าวว่านั่นเป็นเหตุผลที่ควรส่งกองกำลังป้องกันชาติไป
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทรัมป์ระบุว่า “ผมคิดว่ามันเป็นการจลาจล และผมคิดว่ามันเลวร้ายมาก” พร้อมตั้งคำถามถึงความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น ว่าจะควบคุมการประท้วงได้หรือไม่ โดยย้ำว่ารัฐบาลกลางสามารถรับรองได้ว่า ‘การรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย’ จะเกิดขึ้น
คงต้องติดตามว่าสถานการณ์ในสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐบาลส่งกองกำลังป้องกันชาติเพิ่มเติมกว่า 2,000 นาย ไปยังลอสแองเจลิส ท่ามกลางความโกรธแค้นเหตุการณ์บุกค้นของเจ้าหน้าที่ ICE และเสียงคัดค้านจากหน่วยงานท้องถิ่น ความกังวลของครอบครัวผู้ถูกจับกุมจะบรรเทาลงได้หรือไม่ ยังเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในลอสแองเจลิส
อ้างอิงจาก