ไม่นานมานี้ ตำรวจเมืองคาวาซากิ จังหวัดคานากาวะ ในญี่ปุ่น ได้จับกุม โยโกะ โยชิฮาระ วัย 86 ปี–ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมสามีวัย 91 ปีของเธอ ก่อนจะพยายามปลิดชีพตัวเอง
โยโกะยอมรับว่า ช่วงเวลา 9.30 น. ถึง 11.30 น. ของวันที่ 25 กันยายน เธอใช้เนกไทรัดคอสามีที่ป่วยติดเตียง จนเสียชีวิต จากนั้นเวลา 11:40 น. ลูกสาวคนโตได้กลับถึงบ้านหลังจากช้อปปิ้ง และพบว่าพ่อของเธอไม่หายใจ ขณะที่แม่ของเธอก็มีเลือดออกจากบาดแผลที่คอและข้อมือ
ตำรวจรายงานว่า โยโกะสารภาพว่าเธอฆ่าสามีของตัวเอง เนื่องจากเธอ ‘เหนื่อยล้า’ จากการดูแลเขาที่ป่วยติดเตียงมาเป็นเวลานาน
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความสะเทือนใจให้ใครหลายคน แต่ยังทำให้เกิดคำถามถึงการดูแลผู้ป่วยติดเตียงว่า เราจะมีทางออกไหนบ้าง? เพื่อช่วยแบ่งเบาความเหนื่อยล้า–ทางกายและใจ ให้กับทั้งผู้ดูแลและตัวผู้ป่วยเอง
หนึ่งในนั้นอาจเป็น การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายไว้ว่า Palliative Care คือ “การดูแลที่มุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว โดยลดความทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ”
โดยเฉพาะอาการป่วยรุนแรง เป้าหมายสำคัญของ Palliative Care อาจไม่ใช่การรักษาโรคให้หาย แต่เป็นการใส่ใจคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อให้วาระสุดท้ายของชีวิตดีขึ้น
เมื่อปี 2020 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ประเมินว่า ทั่วโลกมีผู้คนประมาณ 56.8 ล้านคนต่อปีที่ต้องการ Palliative Care ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง อีกทั้งในจำนวนนั้น เป็นผู้ที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตถึง 25.7 ล้านคน อย่างไรก็ตามมีเพียงประมาณ 14% ของผู้ที่ต้องการเท่านั้น ที่ได้รับ Palliative Care จริง
สำหรับอาการที่พบในคนที่ต้องการ Palliative Care ส่วนใหญ่จะเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ (38.5%) มะเร็ง (34%) โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (10.3%) โรคเอดส์ (5.7%) และเบาหวาน (4.6%) อาการอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ไตวาย โรคตับเรื้อรัง โรคพาร์กินสัน ภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น
สิ่งที่ Palliative Care ให้ความสำคัญคือ การบรรเทาอาการของผู้ป่วย ซึ่ง WHO ระบุว่า ‘ความเจ็บปวดทางกายและการหายใจลำบาก’ เป็นอาการที่พบบ่อยและร้ายแรงที่สุด สำหรับผู้ป่วยต้องการ Palliative Care ตัวอย่างเช่น 80% ของผู้ป่วยโรคเอดส์หรือมะเร็ง และ 67% ของผู้ป่วยโรคหัวใจ จะมีอาการเจ็บปวด ‘ระดับปานกลางถึงรุนแรง’ ในวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนั้น ยาบางตัวและวิธีการรักษาบางรูปแแบบ จึงมีความจำเป็นต่อการบรรเทาความเจ็บปวดเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนโยบายสาธารณสุขและระบบสุขภาพของหลายประเทศ ยังคงไม่รองรับ Palliative Care เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรและกฎหมายที่ยังไม่ครอบคลุม
ด้าน นพ.วิชัยพัชร์ ไทยสุริโย แพทย์เวชศาสตร์ประคับประคอง โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ กล่าวกับ The Active ถึง Palliative Care ในประเทศไทยว่า “ปัญหาหลักที่พบคือการขาดแคลนบุคลากรในสาขานี้ และในบางโรงพยาบาลยังมีข้อจำกัดเรื่องยาในการควบคุมอาการ”
นอกจากนี้ นพ.วิชัยพัชร์ยังชี้ว่า หลายคนยังไม่คุ้นเคยกับการวางแผนหรือเตรียมตัว สำหรับวาระสุดท้ายของชีวิตล่วงหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้ว ผู้ป่วยอาจไม่ได้รับการดูแลที่เพียงพอ โดยเขาย้ำว่า “การดูแลแบบประคับประคองควรเริ่มตั้งแต่ระยะต้นของโรค ตอนที่คนไข้ยังสามารถตัดสินใจเองได้”
ไม่เพียงแค่ด้านกายภาพ แต่การดูแลจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของผู้ป่วยก็เป็นส่วนสำคัญของ Palliative Care ซึ่งการเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรก อาจช่วยให้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เป็นไปอย่างเจ็บปวดน้อยลง ทั้งต่อตัวผู้ป่วยและครอบครัวที่ดูแลอย่างใกล้ชิด
“Palliative Care ได้รับการรับรองอย่างชัดเจนว่า เป็นสิทธิด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์” WHO ระบุ
พร้อมย้ำว่า ระบบสุขภาพของแต่ละประเทศ ควรมุ่งเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (person-centered) โดยมีนโยบายที่รองรับ Palliative Care พร้อมกับฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ และเตรียมพร้อมยาที่จำเป็นต่อผู้ป่วย รวมถึงให้ความรู้ประชาชนทั่วไป เพื่อให้วาระสุดท้ายของผู้ป่วยดำเนินไปอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด และส่งเสริมให้ผู้ดูแลหรือครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อ้างอิงจาก