ในภาคเรียนใหม่ของนักศึกษาวิชาทหาร นักเรียนทั่วประเทศจะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากวิชาต่างๆ ผ่านครูฝึกมากขึ้น เช่น ประวัติศาสตร์ชาติไทย และบทบาทของกองทัพต่อความมั่นคง (ซึ่งเมื่อก่อนก็มีอยู่แล้ว แต่จะสอนให้มากขึ้นกว่าเดิม)
ThaiPBS รายงานว่า นักศึกษาวิชาทหาร หรือที่เราเรียกกันแบบคุ้นเคยว่า รด. ที่จะเข้ารับการฝึกจากกองทัพในปีการศึกษาใหม่ จะได้อยู่ภายใต้การเรียนและการสอนในรูปแบบใหม่ หลังจากที่หลักสูตรการสอนถูกปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว
ประเด็นสำคัญคือ ฝึกวิชาภาคปฏิบัติให้น้อยลง แต่เพิ่มความเข้มข้นและสัดส่วนของเนื้อหาในห้องเรียนมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
ทั้งนี้ จะปรับลดสัดส่วนวิชาทหารจากเดิม 70 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือ 55 เปอร์เซ็นต์ และปรับเพิ่มวิชาทั่วไปจากเดิม 30 เปอร์เซ็นต์เป็น 45 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ วิชาที่ถูกเพิ่มเข้ามา เช่น ประวัติศาสตร์ชาติไทย, สถาบันพระมหากษัตริย์, บทบาททหารกับความมั่นคง, ปฐมพยาบาล, บรรเทาสาธารณภัย, วิชาผู้นำ และจิตอาสา
เหตุผลที่ระบุผ่านรายงานก็คือ เพื่อลดความซ้ำซ้อน และพบว่าบางวิชาทหารนั้น สามารถไปเรียนในภาคสนามแทนได้
“แม้จะมีการปรับปรุงหลักสูตรใหม่และอยู่ในเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แต่ก็ยังคงกรอบการปฏิบัติเดิมของนักศึกษาวิชาทหาร และการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ทั้งจิตอาสาพระราชทาน รด.จิตสีขาว และ รด.จิตอาสา ภายใต้ 5 ภารกิจ คืองานเทิดทูนสถาบัน ช่วยเหลือสังคม บรรเทาสาธารณภัย สร้างการความรับรู้ผลงานของ คสช. และรัฐบาล และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ รวมทั้งโครงการที่ริเริ่มใหม่ในปีนี้่คือ รด.จิตอาสาต้านยาเสพติด รด.ไซเบอร์ และ รด.ต้นแบบนวัตกรรม” รายงานของ ThaiPBS ระบุ
ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการหน่วยรักษาดินแดน พล.ท.ปราการ ปทะวานิช บอกว่า ในภาคเรียนใหม่จะปรับหลักสูตรการสอน โดยยึดระบบ ‘ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง’ และเพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างครูฝึกกับนักศึกษา
นอกจากนั้น การผ่อนผันครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ไว้ผมทรง ‘รองทรงสูง’ ซึ่งต่างจากเดิมที่ต้องเป็นผมเกรียนแบบติดหนังหัวขาว 3 ด้าน
รายละเอียดระบุว่า นักศึกษาวิชาทหารชายในชั้นปีที่ 1-3 จะสามารถไว้ผม รองทรงสูง โดยอนุญาตให้ไว้ผมยาวด้านหน้าได้ไม่เกิน 5 เซนติเมตร ส่วนนักศึกษาวิชาทหารในปีที่ 4-5 จะสามารถไว้ผมยาวด้านหน้าได้ไม่เกิด 7 เซนติเมตร
ทั้งนี้ทั้งนั้น นโยบายเรื่องทรงผมจะเริ่ม ‘ทดลอง’ ในปีการศึกษาที่กำลังจะมาถึง (ซึ่งนั่นก็คือราวๆ เดือนกรกฎาคม ส่วนการทดลองจะกลายเป็นนโยบายถาวรในระยะยาวเลยหรือไม่นั้นจะต้องรอการประเมินผล และสำรวจความพึงพอใจจากนักศึกษาวิชาทหารและผู้ปกครองอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนี้ต้องติดตามกันว่า นโยบายที่ออกมาจะใช้จริงในทางปฏิบัติอย่างไร และการให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางที่ว่านี้ จะออกมาในรูปแบบไหนกันบ้าง?
อ้างอิงจาก
https://news.thaipbs.or.th/content/281014
https://www.posttoday.com/social/general/592588
https://www.thaipost.net/main/detail/39009
https://siamrath.co.th/n/85753
#Brief #TheMATTER
