(คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของการ์ตูนเรื่อง One Piece)
“สิ่งเหล่านี้ มนุษย์ไม่อาจหยุดยั้งได้
เจตนารมณ์ที่ได้รับการสืบทอด, ความฝัน, การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ตราบใดที่มนุษย์ทะยานอยากได้อิสรภาพ
สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่อาจหยุดยั้งได้อย่างแน่นอน”
– เจ้าแห่งโจรสลัด, โกลด์ โรเจอร์
One Piece มังงะชื่อดังปลายปากกาของโอดะ เออิจิโระ (Oda Eiichirō) บรรยายไว้ในหน้าเปิดตอนที่ 100 ‘เริ่มต้นตำนาน’ ไว้เช่นนี้ และมันก็เสมือนเป็นธีมหลักของ One Piece ทั้งเรื่อง
ในปัจจุบัน เรื่องราวดำเนินมาใกล้เล่มที่ 100 และเอพิโสดล่วงหน้าที่จวนเจียนจะถึง 1,000 ตอนเต็มที ตลอดการเดินทางของ ‘กลุ่มหมวกฟาง’ ของมังกี้ ดี ลูฟี่ ล้วนพูดถึงเจตนารมณ์ที่ได้รับการสืบทอดต่อมาจากความฝันของคนยุคก่อนเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นลูฟี่อยากเป็นโจรสลัดเพราะแชงคูส ผมแดง, ช็อปเปอร์อยากเป็นหมอเพราะ ดร.ฮิลรุค, ซันจิอยากค้นพบทะเลออลบลู และได้แรงบันดาลใจจากโจรสลัดกุ๊ก เซฟ ขาแดง หรือที่นิโค โรบิน อยากค้นพบประวัติศาสตร์ที่หายไป ด้วยแรงบันดาลใจจากนักโบราณคดีแห่งโอฮารา
“สมบัติของข้ารึ? ถ้าอยากได้ข้าจะยกให้…
…ก็ลองหาดูซี่ ข้าได้เอาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไว้ ณ ที่แห่งนั้นแล้ว”
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจ้าแห่งโจรสลัด โกลด์ โรเจอร์ ก็ทำให้ผู้คนที่มีความฝันมุ่งหน้าออกสู่ทะเล
โรเจอร์พูดคำนี้บนตะแลงแกงก่อนที่เขาจะถูกประหาร จากความตั้งใจของรัฐบาลโลกและกองทัพเรือในขณะนั้น ที่ต้องการให้ยุคสมัยแห่งโจรสลัดกำลังเริ่มขึ้นถูกตัดตอนลง เมื่อโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เดินทางรอบโลกสำเร็จ ค้นพบสมบัติวันพีซ และล่วงรู้ความลับในประวัติศาสตร์ทุกประการอย่างโรเจอร์เข้ามอบตัว ทำให้สิ่งที่กองทัพและรัฐบาลทำ คือจัดการให้ภาพของโจรสลัดอันดับหนึ่งดับสิ้นไปในเงื้อมมือของทางการ ติดตราตรึงลงในความทรงจำของผู้คน และเมื่อนั้นโจรสลัดผู้โหยหาในอิสรภาพและความเป็นจริงจะอันตรธานไป ความสงบย่อมมาเยือน
แต่สิ่งที่รัฐบาลไม่คาดคิดเลยคือ คำพูดเพียงสั้นๆ บนตะแลงแกงนั้น จะกลับทำให้ยุคสมัยแห่งโจรสลัดเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ทุกคนมุ่งหน้าสู่ทะเล บ้างอยากได้สมบัติ บ้างอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง บ้างอยากเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด บ้างอยากใช้ชีวิตที่มีอิสรภาพ บ้างอยากล่วงรู้ความจริงของประวัติศาสตร์ ซึ่งเท่าที่เรื่องราวตอนนี้เปิดเผยออกมา ก็เหมือนว่าทั้งหมดนั้นคือนิยามของ ‘วันพีซ’
การดำเนินเรื่องของวันพีซ มักเล่าย้อนไปสู่เรื่องราวความเป็นมาในอดีตเสมอ อย่างเรื่องราวตอนหนึ่งเล่าถึงความฝันของซันจิ เชฟฝีมือดี ผู้ใช้ขาต่อสู้เพราะถือคติว่ามือมีไว้สำหรับทำอาหารเท่านั้น
ซันจิเป็นซูเชฟของภัตตาคารลอยน้ำ ‘บาราติเอ’ มีตำแหน่งรองจาก เซฟ ขาแดง ผู้เคยเป็นโจรสลัดมาก่อน แต่ต้องเลิกไปเพราะขาขาดไปข้างหนึ่ง เลยต้องมาเปิดภัตตาคารเป็นอาชีพแทน สองคนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมา ทะเลาะถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลาเหมือนพ่อกับลูกชาย
กระทั่งวันหนึ่งก็มีโจรสลัดบุกมาที่บาราติเอในเวลาเดียวกับที่พวกลูฟี่มาถึงที่นี่พอดี การต่อสู้ระหว่างเชฟและโจรสลัดก็อุบัติขึ้นจนถึงจุดที่โจรสลัดขู่จะเผาภัตตาคารแห่งนี้ แต่ซันจิเสนอตัวให้โจรสลัดซ้อมเขาแทนเพราะ
‘ไม่อยากให้ตาแก่นั่น
สูญเสียอะไรในชีวิตไปอีกแล้ว’
ในภาวะคับขันนั่นเอง ภาพอดีตย้อนให้คนอ่านได้เห็นว่าเซฟและซันจิเคยติดเกาะร้างอยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนแบ่งถุงอาหารกัน ซันจิได้ถุงเล็กจ้อย ส่วนเซฟได้ถุงใหญ่เท่าตัวคน ทั้งคู่แยกกันไปนั่งคนละฝั่งของเกาะ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในการรอดชีวิต หากใครเจอเรือก่อนจะได้มาเรียกอีกคนหนึ่งได้
เวลาผ่านไปหลายเดือนอาหารของซันจิหมดลง เขาผอมซีดเซียวจนทนไม่ไหว เดินไปหาเซฟ ขาแดง ที่อีกด้านหนึ่งของเกาะ ซันจิเห็นว่าข้างกายตาแก่คือถุงอาหารใหญ่เบิ้มที่ดูไม่พร่องแม้แต่นิดเดียว ซันจิถือมีดเข้าไปขู่เซฟและตัดถุงอาหารนั่นออก แต่ภายในกลับไม่ใช่อาหาร มีเพียงสมบัติจำนวนมาก เพชรนิลจินดาที่เอาไปหาซื้ออะไรมากินไม่ได้เลย
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เซฟ ขาแดง ตัดขาตัวเองออกมากินประทังชีวิต และมอบอาหารทั้งหมดให้เด็กน้อยคนหนึ่งได้รอดชีวิต เหตุผลเดียวคือทั้งคู่มีความฝันเดียวกัน นั่นคือการตามหา ‘ออลบลู’ ทะเลในตำนานที่รวมทุกวัตถุดิบของโลกนี้เอาไว้ สวรรค์ที่เหล่าเชฟทุกคนฝันถึง
เซฟบอกกับซันจิว่าเขาแก่แล้ว เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือแล้ว ความฝันที่มีและพอทำได้ก็อาจเป็นการเปิดภัตตาคารลอยน้ำ ให้คนที่หิวโหยกลางทะเลได้มาพึ่งพิงเป็นที่พึ่ง
เราตีความว่า เวลาที่เลยผ่านอาจทำให้สังขารของคนโรยรา แต่ตราบใดที่ความฝันยังโชติช่วงชัชวาล การส่งมันมอบให้คนรุ่นต่อไปทำให้เป็นจริง คือหน้าที่ของคน ‘ยุคก่อน’ ที่ยังมีฝัน ในเวลาต่อมา ซันจิจึงได้ขึ้นเรือของลูฟี่ในฐานะเชฟ โดยมีเป้าหมายคือ ตามหาออลบลูให้เจอให้จงได้
อีกหนึ่งเหตุการณ์คือ เรื่องราวบนเกาะมนุษย์เงือก ที่เราได้เห็นความฝันของพระราชาเงือกเนปจูน กับชิราโฮชิ บุตรสาว คือการพาเผ่าเงือกขึ้นสู่แสงอาทิตย์อีกครั้ง ได้อาศัยอยู่บนผืนโลกเหนือน้ำเช่นเดียวกันและร่วมกันกับมนุษย์
เผ่าเงือกมีปัญหาเดียวคือ ความขัดแย้งระหว่างเงือกและมนุษย์ เงือกถูกตราหน้าว่าเป็นสัตว์ไม่ใช่คน จึงถูกกระทำย่ำยีเช่นเดียวกันเดรัจฉานทั่วไป ทั้งถูกจับมาขายเป็นทาส เป็นสัตว์เลี้ยง และถูกปฏิบัติเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองอย่างแท้จริง เรื่องนี้ทำให้ความแค้นของเงือกและมนุษย์ยังคงคุกรุ่นอยู่ในโลกแห่งวันพีซ และดูท่าว่าการที่ความแค้นนี้จะหายไปช่างเป็นไปได้อย่างยากเย็น
ซึ่งคนเดียวที่เชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ ไม่ใช่พระราชาเนปจูน หรือชิราโฮชิ แต่คือ โอโตฮิเมะ ราชินีแห่งเกาะเงือก มเหสีของเนปจูน และเสด็จแม่ของชิราโฮชิ โอโตฮิเมะเชื่อว่าการเรียกร้องสิทธิให้เงือกสามารถทำได้โดยสงบ เธอเฝ้าเพียรรณรงค์ให้เหล่าเงือกลงชื่อทุกวัน เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องความเป็นอยู่ในเงือกเท่ากับกับมนุษย์ให้ได้ แต่แน่นอน เรื่องนี้จบลงไม่ดี ราชินีโอโตฮิเมะถูกลอบสังหาร และเงือกก็ยังเป็นพลเมืองชั้นสองของโลกนี้ต่อไป
ในความคร่ำครวญเสียใจ สิ่งที่เนปจูนทำได้คือ การสืบทอดความฝันของมเหสีที่รักให้ถึงฝั่งฝัน กาลเวลาอาจคร่าชีวิตคน แต่ความฝันก็ยังสืบทอดผ่านเจตนารมณ์ได้ไม่มีจุดสิ้นอายุ
เพราะสังคมเดินหน้าไปสู่อนาคตที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ ฉะนั้น การส่งไม้ต่อสู่รุ่นต่อไปจึงเป็นเรื่องสำคัญของคนรุ่นปัจจุบัน ยุคสมัยแห่งโจรสลัด เริ่มต้นที่นั่น จากเพียงสะเก็ดไฟไม่กี่หยาดหยด สิ่งที่คนรุ่นเราควรทำคือ จุดคบไฟและยื่นมันต่อไปให้คนรุ่นหน้า เพราะในอนาคตสังคมจะเป็นของพวกเขา อิสรภาพจะเป็นของพวกเขา ไม่ใช่ของพวกเราอีกต่อไป
ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความฝัน และเวลายังหมุนไป
ตราบนั้นก็ไม่อาจมีใครหยุดยั้งเจตนารมณ์
ที่ได้รับการสืบทอดต่อมาแน่นอน