สำหรับบางคน คนบางกลุ่มยังคงเป็นศัตรูคู่อาฆาต ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าประวัติศาสตร์ที่คนในอดีตเขียนไว้คือความจริงแท้ และเราต้องรักษา ‘ความเกลียดชัง’ เอาไว้ให้มั่น
เอาจริงๆ แล้วที่เราโกรธกัน มีการแบ่งพวกเขาพวกเรา อะไรคือสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นอยู่กับตัวเรา เป็นเพราะคนอื่นๆ บอกว่าเราต้องเกลียดกัน พวกนั้นไม่ดี ห้ามคบค้าสมาคม นำไปสู่การสาดสีป้ายโคลนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบบนั้นรึเปล่า
แล้วความเกลียดชังทำให้เรามีความสุข มีชีวิตที่สงบสุข…อย่างนั้นใช่มั้ย
Klaus อนิเมชั่นจาก Netflix ชวนเราเดินทางไปกับหนุ่มไปรษณีย์ ‘แจสเปอร์’ ที่เคยมีชีวิตสุขสบาย มีชีวิตบนกองเงินกองทองด้วยธุรกิจส่งไปรษณีย์ของพ่อตัวเอง แต่เมื่อพ่อของเขาต้องการดัดนิสัยที่ไม่เอาไหนและเห็นแก่ตัวของเขา แจสเปอร์จึงถูกส่งตัวมายังเมือง Smeerensburg (เป็นเมืองที่มีอยู่จริงด้วยนะ แต่ชื่อจริงๆ คือ Smeerenburg) และให้เงื่อนไขเอาไว้ว่าต้องส่งไปรษณีย์ให้ได้ 6,000 ฉบับในหนึ่งปี เขาถึงจะได้กลับบ้าน
ทันทีที่มาถึง ภาพของเมืองนี้กลับเต็มไปด้วยสีเทาทึม ผู้คนโกรธเกรี้ยว กลั่นแกล้งกันไปมา เกลียดชังรุนแรง ถึงขั้นทำร้ายกันเอง แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงการส่งจดหมายให้กัน เพราะต่อให้แจสเปอร์ไปดูกล่องไปรษณีย์กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไร้ซึ่งซองจดหมายใดๆ
แจสเปอร์เกือบถอดใจจนกระทั่งได้เจอ เคล้าส์ (Klaus) และทั้งคู่แอบส่งมอบของขวัญให้กับเด็กคนหนึ่ง เด็กที่ไม่เคยได้รับของขวัญเพราะดูเหมือนว่าความใจดีเป็นสิ่งต้องห้ามของเมืองนี้ แต่เมื่อเด็กชายผู้ได้รับของขวัญจากแจสเปอร์และเคล้าส์ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเด็กชาย ความสุขสว่างไสวไปทั่วห้องนอนของเขา และเมื่อเด็กชายคนดังกล่าวนำไปเล่นนอกบ้าน จนทำให้ได้เจอเด็กคนอื่นๆ เขาก็แบ่งปันของเล่นกันและเกิดเป็นเสียงหัวเราะสนุกสนาน
สนุกสนานและสดใสเกินไปจนผู้ใหญ่ต้องรีบเข้ามาห้ามไม่ให้เด็กๆ เล่นกัน แต่ทว่าข่าวเรื่องของเล่นที่ส่งมาอย่างปริศนาก็แพร่สะพัดไปสู่เด็กอีกหลายๆ คนด้วย
จากเหตุการณ์นี้ทำให้แจสเปอร์คิดแผนการจะใช้เด็กๆ เป็นคนเขียนจดหมายเพื่อให้เขาได้ส่งครบตามจำนวนที่พ่อของเขาตั้งเกณฑ์ไว้ และเขาจะได้ออกไปจากที่แห่งนี้ เขาเดินทางไปขอความร่วมมือจากเคล้าส์ จนกระทั่งทั้งคู่กลายเป็นคู่หูเพื่อส่งมอบความสุขให้เด็กๆ
เมื่อของเล่นกระจายไปทั่วเมือง เด็กๆ จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมให้ผู้ใหญ่เห็นว่าความเกลียดชังไม่ได้ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ แต่คือเสียงหัวเราะและความใจดีที่มีต่อกันที่ทำให้โลกมีสีสันและสดใส จากภาพโทนทึมเทากลายเป็นแสงสว่างขึ้นมาในทันที และเมื่อแจสเปอร์บอกว่าคนที่เป็นเด็กดีเท่านั้นที่จะได้ของขวัญ การเอื้อเฟื้อแบ่งปันและช่วยเหลือกันและกันในหมู่เด็กๆ จึงเริ่มขึ้น หลายบ้านเริ่มเปิดประตูต้อนรับกัน แบ่งปันของกิน ของใช้ Smeerensburg กลายเป็นเมืองที่น่าอยู่ขึ้นทันตาเห็น
สิ่งเหล่านี้เกิดจากเมล็ดพันธุ์แห่งการส่งมอบมิตรภาพแก่กันที่จุดประกายคนอื่นๆ
แต่ตระกูลดั้งเดิมทั้งสองตระกูลของที่นี่ ผู้เป็นศัตรูกันและพยายามให้คนอื่นๆ เกลียดชังกันนั้น กลับไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉากหนึ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเด็กชายคนแรกที่ได้รับของขวัญและนำไปแบ่งปันกับเด็กหญิงที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ทำให้เด็กทั้งสองต้องถูกพ่อและแม่ของเขาพาตัวไปอธิบายกับตระกูลเก่าแก่ของตัวเอง เด็กทั้งสองได้รับการอธิบายว่าพวกเขาควรเกลียดกัน ไม่ควรเล่นของเล่นแบบนั้น และไม่ควรหัวเราะสนุกสนาน ทันทีที่เด็กชายถามว่า “ทำไม” เหล่าคนในตระกูลก็ตกอกตกใจ เพียงแค่คำว่า “ทำไม” ได้กลายเป็นเรื่องต้องห้ามของเด็ก ก่อนที่ผู้นำตระกูลของทั้งสองจะพาเด็กของพวกเขาไปดูประวัติศาสตร์ความเกลียดชังที่มีมาตั้งแต่อดีต
ดูๆ ไปแล้วอนิเมชั่นเรื่องนี้อาจส่งสัญญาณถึงผู้ใหญ่อย่างเราๆ ว่ามันดีแล้วหรือเปล่าที่เราจะเกลียดชังกันเพียงเพราะอดีตบอกให้เราเกลียดชัง ทำไมโลกที่เราอยู่ถึงต้องเต็มไปด้วยความโกรธแค้น การสาปแช่ง ทำไมเราถึงแบ่งปัน ใจดี และมีน้ำใจกับคนรอบข้างไม่ได้
เช่นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจกันบนโลกออนไลน์เอง อะไรทำให้เราส่งต่อความเกลียดชังให้กัน
จะโอเคกว่าไหม ถ้าเราจะแบ่งปันคำพูดดีๆ ต่อกันมากกว่าส่งคำพูดร้ายๆ ออกไป
หรือจะดีกว่าไหม ถ้าเราจะเก็บอดีตไว้เป็นบทเรียน เก็บความเกลียดชังในอดีตไว้ย้ำเตือนว่าไม่เคยทำให้สิ่งใดดีขึ้น และสอนเด็กๆ ในอนาคตให้ดีต่อกันผ่านการกระทำที่เริ่มต้นจากคนรุ่นเรา
จริงๆ แล้วก็คงพอเดากันได้ว่า Klaus พยายามเล่าถึงตำนาน Santa Claus แต่เป็นคุณลุงซานต้าในอีกมุมนึง มุมที่ไม่ได้มีปาฏิหาริย์ เวทมนตร์ หรือพลังพิเศษ จะมีก็เพียงแต่พลังของความไม่เห็นแก่ตัวและการใจดีต่อคนรอบข้างที่ส่งความสุขไปถึงมือทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ดูเป็นพลังวิเศษที่ทำให้โลกสงบสุขได้เช่นกัน
เหมือนคำพูดจากเคล้าส์ที่บอกกับเราว่า