เราอาจจำภาพของหุ่น Sex Doll เป็นเพื่อนใจคลายเหงาของหนุ่มๆ ผู้เปล่าเปลี่ยวในโลกยุคใหม่ แต่ใครจะคิดละว่า มันถูกสร้างขึ้นมาหลายรูปแบบจากหลายยุคสมัยเพื่อคลายเหงา ตั้งแต่ชาวประมง ไปจนศิลปินรักข้างเดียว
สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวพรรณหมดจด แม้จะนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา (เพราะไม่มีชีวิต) แต่กลับเป็นเพื่อนคลายเหงายามเปล่าเปลี่ยวหัวใจให้กับหนุ่มๆ ได้ดี แน่นอนว่าสาวน้อยนั่งนิ่งไม่ได้เป็นตุ๊กตาที่มีไว้ให้รู้สึกว่ายังมีคนเคียงข้างเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ให้ความสุขทางเพศ เพราะจริงๆ แล้ว Sex Doll ก็เป็นเหมือนเซ็กซ์ทอยชนิดหนึ่งในรูปแบบที่ครบสูตรเสียหน่อย เรียกได้ว่าครบทุกส่วนเหมือนคนหนึ่งคนเลยล่ะ
ส่วนใหญ่แล้ว Sex Doll ที่เราเห็นในทุกวันนี้ผลิตจากวัสดุหลายแบบ ตั้งแต่ซิลิโคน ยาง พลาสติก TPE หรือวัสดุใดก็ตามที่ให้ผิวสัมผัสนุ่มนิ่ม หนุบหนับ เหมือนได้จับเนื้อหนังของคน รูปร่าง หน้าตา ทรวดทรงหลากหลายก็มีให้เลือกได้ตามใจ จนยิ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์เสวให้สมจริง แถมนอกจากจะมีพื้นที่ลับๆ ให้ร่วมรักได้แล้ว ตุ๊กตาเหล่านี้ยังมีลูกเล่นอื่นๆ อย่างอุณหภูมิอุ่นเหมือนร่างกายคน ฟังก์ชั่นสั่น ดูดเข้า-ออก ตีบวกความแฟนตาซีให้ผู้ใช้งานยิ่งขึ้น
แต่ช้าก่อน Sex Doll ที่สมจริงและฟังก์ชั่นมากมายนี้ ล้วนถูกพัฒนามาตามเทคโนโลยีในยุคใหม่ และถ้าย้อนกลับไปถึง Sex Doll ยุคแรกๆ คุณพอจะเดาได้ไหมว่า พวกมันทำมาจากอะไร และหน้าตาเป็นแบบไหน?
ย้อนกลับไปเท่าที่พอจะรวบรวมข้อมูลได้ ในศตวรรษที่ 16 ยุคแห่งการเดินทางไกลโพ้นทะเล เหล่ากะลาสีและลูกเรือชาวดัตช์จำต้องท่องมหาสมุทร ใช้ชีวิตบนผืนน้ำเป็นเวลาเดือนแล้วเดือนเล่า กว่าจะได้เหยียบผืนแผ่นดินบนชายฝั่งสักครั้ง ก็นับเป็นโอกาสพิเศษที่ได้ดื่มในบาร์ ซื้อบริการสาวสักคน ก่อนจะต้องกลับไปใช้ชีวิตอ้างว้างไล่ล่าเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง
แล้วใครกันจะปล่อยให้ตัวเองเปล่าเปลี่ยว ใส่เดี่ยวกับอุ้งมือจนกว่าจะถึงชายฝั่ง เหล่าลูกเรือจึงหาสิ่งคลายเหงา ด้วยการเย็บปักตุ๊กตาขึ้นมาจากผ้าและหนังเพื่อใช้เป็นเซ็กซ์ทอย และนี่แหละอาจนับได้ว่า เหล่าตุ๊กตาผ้านี้เป็น Sex Doll รุ่นแรกๆ ของโลก ในชื่อ ‘dutch wives’ ซึ่งคำนี้ก็ได้กลายมาเป็นคำเรียก Sex Doll จวบจนถึงทุกวันนี้
ตุ๊กตาบำบัดความใคร่ถูกสร้างไปตามนวัตกรรมที่มีในตอนนั้น จนมาถึงต้นทศวรรษที่ 19 ตุ๊กตาที่เป็นของเล่นเด็กน้อยเริ่มกลายมาเป็นสินค้าวงกว้างในตลาด มีกำลังผลิตสูงขึ้น มีการพัฒนาหยิบนู่นนี่มาเป็นวัสดุ จนพัฒนาขึ้นจากตุ๊กตาผ้าอย่างก้าวกระโดด Sex Doll เองก็เริ่มปรากฏในแค็ตตาล็อกของฝรั่งเศส โดยมีการใช้พลาสติกร่วมกับยาง เพื่อสร้างตุ๊กตาที่เหมือนจริงมากขึ้น ตุ๊กตาเหล่านี้อาจเป็นตุ๊กตาตัวแรกที่มีอวัยวะเพศเหมือนจริง และอาจมีท่อที่น้ำมันสามารถหล่อลื่นช่องคลอดได้ด้วย
หลังจากนั้นมา การค้นพบวัสดุใหม่ๆ อย่างพลาสติกชนิดใหม่ ซิลิโคน ยิ่งส่งเสริมให้ตุ๊กตานี้สมจริงยิ่งขึ้น ไอเดียของการมีตุ๊กตาสาวไว้เป็นเซ็กซ์ทอยจึงเริ่มแพร่หลาย จนหลายประเทศเริ่มผลิต Sex Doll ในรูปแบบของตัวเองในเวลาไล่เลี่ยกัน ตั้งแต่เยอรมนี อเมริกา ฝรั่งเศส และเริ่มแพร่หลายไปในหลายประเทศทั่วโลก
เราหลงรักสาวงามไร้ชีวิตกันมานานแล้ว
ไม่ใช่แค่เพียงตุ๊กตาคลายเหงาของชาวประมงเท่านั้นที่หนุ่มๆ เริ่มตกหลุมรัก แต่ย้อนกลับไปอีกหน่อย หนุ่มๆ บนโลกนี้หลงรักสาวงามไร้ชีวิตกันมานานแล้ว
เริ่มจากเรื่องเล่าอันโด่งดังของ พิกมาเลียน (Pygmalion) ประติมากรหนุ่ม ผู้ไม่ฝักใฝ่ในอิสตรีนางไหนเลย จนอยากครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่แล้วเมื่อผลงานชิ้นเอกของเขาเป็นรูปปั้นหญิงสาวที่งามหมดจด (บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่า เป็นการแกะสลักงาช้าง) เขาดันหมดอคติทั้งหมดที่มีในใจ และตกหลุมรักผลงานของเขาเองเข้าอย่างจัง โดยความรักนั้นเป็นความรักที่ใครสักคนมีให้กัน มากกว่าจะเป็นเพียงความภาคภูมิใจในผลงานเท่านั้น และมากเสียจนเขาตั้งชื่อให้เธอ (รูปปั้นนั่นแหละ) ว่ากาลาทีอา (Galatea)
ความรักที่ไม่เคยลดน้อยลงสักวันต่อกาลาทีอา ทำให้พิกมาเลียนอ้อนวอนขอพรจากวีนัส (Venus) เทพีแห่งความรัก ให้เธอได้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ เพื่อมาเป็นคนรักให้กับเขา และทาดา! พรที่เขาขอนั้นก็กลายเป็นจริง เมื่อกาลาทีอามีชีวิตขึ้นมา มีความรู้สึก มีเนื้อหนังอันอบอุ่นด้วยเลือดที่ไหลเวียนภายใน ไม่ใช่เพียงประติมากรรมชิ้นเอกของเขาอีกแล้ว
ขยับมาที่ศตวรรษที่ 3 ก็มีบันทึกว่า ชายคนหนึ่งจากเซลิมเบรียได้หลงรักรูปปั้นเทพีอโฟรไดต์มาก จนขังตัวเองอยู่ในวิหารของเทพีอโฟรไดต์ เพราะอยากใช้เวลากันสองต่อสอง แต่พอเขาผิวสัมผัสรูปปั้นนั้นก็รู้สึกว่า มันทั้งเย็นและไม่ยืดหยุ่น ไม่อุ่นเหมือนคนจริง เขาจึงหมดความวาบหวามกับรูปปั้นเทพีแห่งความงามไปสิ้น
จนมาถึงในยุคที่ใครจะมี Sex Doll ไว้คลายเหงา หรือบำบัดความเสวก็มีไป แต่ศิลปินอย่าง ออสการ์ โคคอชกา (Oskar Kokoschka) กลับเลือกสร้างตุ๊กตาเอาไว้เป็นตัวแทนของภรรยาที่เลิกรากันไป (แต่ทำลายทิ้งด้วยความหวังว่าจะลืมเธอได้ในภายหลัง) ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่เส้นศีลธรรมพอสมควร เมื่อมันมีภาพแทนของใครสักคนขึ้นมา แล้วคนคนนั้นมีตัวตนอยู่จริง
อย่างไรก็ตาม หากย้อนดูที่มาของ Sex Doll จะเห็นได้ว่าตุ๊กตาเหล่านี้ เป็นทั้งเพื่อนคลายเหงาและให้ความสุขทางเพศ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยหัวข้อ ‘Sex toys, sex dolls, sex robots: Our under-researched bed-fellows’ ที่เจาะลึกลงไปถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานจริง พบว่า ผู้ครอบครอง Sex Doll จำนวนมากมองว่ามันเป็นเหมือนคู่ครองที่อยู่ร่วมกัน นั่งดูทีวีด้วยกัน จับแต่งตัวตามใจ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมือนคู่รักทั่วไป จนบางคนเลือกที่จะเรียกว่า Love Doll แทนเลยล่ะ แถมผลการใช้งานแง่บวกยังบ่งชี้ว่า Sex Doll สามารถให้ความพึงพอใจทางเพศและทางอารมณ์ได้มาก จนสร้างความรู้สึกสบายใจ สงบ หรือแม้แต่ความรัก
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่แง่บวกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะจากผลการวิจัยเดียวกันพบว่า ผู้ชายที่มอง Sex Doll เป็นเหมือนคู่รัก อาจมีแนวโน้มที่จะไม่มองหาคู่รักที่เป็นมนุษย์จริงๆ ในสังคมอีกต่อไป และถ้ายิ่งเปิดเผยเรื่องนี้กับคนรอบข้าง เขายิ่งมีโอกาสถูกตีตราจากสังคม และร้ายแรงที่สุดคือ ส่งผลให้เขามองว่าผู้หญิงและเด็กในชีวิตจริง ก็เป็นวัตถุทางเพศเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำกับตุ๊กตา
จึงตามมาด้วยคำถามและการถกเถียงทางจริยศาสตร์ บ้างมองว่าตุ๊กตาเหล่านี้ก็เป็นเหมือนเซ็กซ์ทอยชิ้นหนึ่งเท่านั้น ช่วยให้หลายคนหลบลี้จากการถูกปฎิเสธ ช่วยฮีลใจเหมือนมีใครสักคนเคียงข้างได้จริง บ้างก็แย้งว่าสิ่งเหล่านี้ส่งเสริมการมองเพศหญิงเป็นวัตถุทางเพศ เมื่อนับวัน Sex Doll ได้ถูกพัฒนาและสร้างให้มีรูปร่างสมจริงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
แถมการมีอยู่ของตุ๊กตาเพื่อความเสวนี้ ก็ยังไม่ถูกกฎหมายในหลายประเทศ เพราะถือว่าเป็นวัตถุลามกอนาจารที่ผิดกฎหมาย และไม่สามารถซื้อขายได้อย่างเปิดเผย (รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน) ประเด็นทางจริยศาสตร์เหล่านี้จึงยังถูกถกเถียงกันต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีข้อสรุปอันสิ้นสุด
สุดท้ายแล้ว การมี Sex Doll ไว้ในครอบครองควรเป็นสิ่งให้ความบันเทิงใจเพียงครั้งคราวเช่นเดียวกับเซ็กซ์ทอยอื่นๆ แม้เรายังไม่ได้คำตอบในคำถามบนเส้นศีลธรรม แต่เราย่อมรู้ดีว่า เราไม่ควรมองคนในชีวิตจริงด้วยฟิลเตอร์เดียวกับที่เรามองตุ๊กตาเหล่านั้นได้
อ้างอิงจาก