ทุกวันนี้ การใช้ AI มาประมวลผลให้กลายเป็นภาพวาด เป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงบ่อยครั้งระหว่างกลุ่มนักวาด คนทั่วไป กับผู้ใช้ AI ซึ่งแต่ละฝ่ายก็ยกเหตุผลของตัวเองขึ้นมา และดูจะเป็นประเด็นที่ยังไร้คำตอบว่าฝั่งไหนถูก ฝั่งไหนผิด หรือทางออกในระยะยาวที่แท้จริงของสิ่งนี้คืออะไร
แต่ในเมื่อเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง และคุณค่าของงานศิลปะก็เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง เราจึงน่ามาร่วมกันหาคำตอบว่า ควรจะทำยังไง เพื่อให้ AI ที่ใช้สร้างงานศิลปะ อยู่ร่วมกับมนุษย์โลกได้? The MATTER ชวนพูดคุยกับตัวแทนนักวาด ตัวแทนผู้ใช้ AI และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อหาวิธีการอยู่ร่วมกัน พร้อมหาคำตอบว่าภาครัฐควรมีบทบาทอย่างไรให้ AI ถูกใช้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่ทำร้ายใคร และไม่ทำให้ใครต้องตกงาน
AI Generator คืออะไร ถูกนำมาใช้อย่างไรในการทำงานศิลปะ
เทคโนโลยี AI ที่ใช้สร้างรูปวาด มีชื่อเรียกว่า ‘Generative AI’ ซึ่งหลักการการทำงาน คือการที่มันสามารถรวบรวม และใช้ข้อมูลจำนวนมากในอดีต อย่างข้อความ วิดีโอ และรูปภาพจำนวนมาก มาประมวลผลตามคำสั่ง (หรือที่เรียกว่า ‘เขียน Prompt’) ให้ออกมาตามที่ผู้สั่งต้องการ ซึ่งกระบวนการนำข้อมูลจำนวนมากมาป้อนให้ AI เรียนรู้ จะเรียกว่าการ ‘เทรน’ (training)
ตัวอย่างการทำงาน เช่น เราอาจเขียน Prompt ว่า ‘แมวส้มกำลังกินเค้กบนดาวเสาร์’ รูปก็จะออกมาเป็นแมวส้มกำลังกินเค้กบนดาวเสาร์จริงๆ (แต่หลายครั้งมันก็เพี้ยนไปจากที่เราคิดไว้บา้ง ขึ้นอยู่กับการเขียน Prompt ที่ละเอียด หรือความสามารถของ AI เจ้านั้นๆ)
มีหลายเว็บไซต์หรือเครื่องมือที่ให้บริการนี้ ที่มีชื่อเสียงในการทำรูป เช่น Bing Image Creator, DALL-E หรือที่หลายคนน่าจะรู้จักอย่าง Chat GPT ก็เป็นบริการที่ใช้ Generative AI ในการนำข้อมูลที่ถูกเทรนจำนวนมาก มาตอบคำถามของเราเช่นกัน
“จริงๆ แล้ว AI ขยับเข้ามาช่วยพวกเราทำงานตั้งนานแล้ว เช่น การใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ลบคนออกจากรูปวิว หรือที่เราแตะแล้วมันเติมส่วนที่ขาดในรูปให้เลย” ผศ.ดร.สุกรี สินธุภิญโญ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบาย ว่า AI นั้นใกล้ตัวเรามานานกว่าที่เราคิด
โดยการนำมาใช้กับงานศิลปะนั้น เมธากวี สีตบุตร Prompt Engineer (อาชีพที่ทำหน้าที่ในการเข้าใจ วิเคราะห์ AI เขียน Prompt ลงไปและแก้ไขจุดบกพร่องให้ได้งานในรูปแบบที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด) ในเอเจนซี่แห่งหนึ่ง อดีตดีไซเนอร์งานอีเวนต์ และวิทยากรบรรยายการใช้ AI ในที่ต่างๆ อธิบายวิธีการทำงานของตัวเขาเองว่า “เมื่อ Generate รูปด้วย AI เสร็จแล้ว ผมนำมา Retouch มาแก้สี แต่งเพิ่มเกิน 50% แล้วค่อยส่งลูกค้า ไม่ปล่อยให้มีรูปคนนิ้วเกิน 7-8 นิ้วออกไป” เขาอธิบาย โดยย้ำว่าเขาเปิดเผยกับลูกค้าเสมอ ว่ามีการใช้ AI เข้ามาช่วย และไม่ได้จบงานด้วย AI เลยอย่างที่หลายคนคิดหรือกล่าวหา
ขั้นตอนที่เมธากวีนำมาใช้ช่วยทำงานมากที่สุด คือใช้ในการสร้างภาพอ้างอิง (Reference) ก่อนเริ่มทำงานจริง เพื่อให้ภาพในหัวออกมาเป็นรูปธรรม และรู้ว่าหากทำจริงมันจะดี หรือไม่ดี “เวลาไปบรรยาย เราจะคนมาฟังหรือมาเรียนว่า ให้คิดเสียว่า A Iเป็น Pinterest ที่ได้ดั่งใจ คือใช้ช่วยหา Reference ได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น” เมธาวีกล่าว
ทางฝั่งนักวาดอย่าง นิกษา Concept artist, Visual Development, 2D artist และ Illustrations ผู้อยู่ในวงการศิลปะมากว่า 10 ปี เล่าว่า ตนไม่ได้ต่อต้าน AI แต่ตอนนี้การเข้ามาของ AI ส่งผลกระทบด้านลบต่อวงการศิลปะมากกว่าด้านดี โดยเห็นด้านดีเหมือนกับที่เมธากวีทำ คือการที่สามารถนำมาใช้เป็น Reference ได้ดีมากตั้งแต่การร่างแบบ หาไอเดีย หรือนำเสนอให้คนอื่นๆ เห็นภาพ แต่ด้านลบก็คือการนำผลงานของนักวาดไปใช้เป็นฐานข้อมูลโดยไม่ยินยอม
“คงคล้ายๆ คนทำกับข้าวไม่ค่อยเป็นมาขโมยสูตรลับ แล้วไปป้อนใส่หุ่นยนต์ ให้ปรุงให้เกือบเหมือน เกือบแทนกันได้” นิกษาเปรียบเทียบ ซึ่งแม้ว่าคุณภาพผลงานจะไม่ได้แทนมนุษย์ได้ทั้งหมด แต่ก็เพียงพอแล้วที่นายทุนจะเลือกปลดนักวาดออกจากงาน และนำ AI มาใช้แทนที่
ดังนั้น แม้ AI จะดูมีประโยชน์ต่อการนำมาเป็นตัวช่วยของนักวาดหรือนักออกแบบได้ แต่หลายต่อหลายครั้งที่มีข่าวแย่งงานนักวาด หรือบางส่วนก็มองว่ามันผิดลิขสิทธิ์ ทำให้เครื่องมืออย่าง AI ยังไม่ได้รับการมากนัก โดย The MATTER สรุปข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นเป็นประจำได้ดังนี้
มุมมองที่ต่างกัน ในข้อถกเถียง ระหว่าง AI-นักวาด
- ‘ลิขสิทธิ์’ งานมนุษย์ที่ถูก AI ขโมยมา? และลิขสิทธิ์ของงาน AI
เรื่องลิขสิทธิ์หรือการ ‘ขโมยงาน’ ถือเป็นข้อโต้แย้งหลักของประเด็นนี้ที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยครั้ง
เมธากวีแสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า เรื่องการขโมยรูปเป็นประเด็นที่ไม่ชัดเจน แต่ปัจจุบัน หลายผู้ให้บริการ Generative AI ก็มีการชี้แจงว่านำข้อมูล หรือ Dataset มาจากการซื้อขายหรือขออนุญาตอย่างถูกต้อง โดยมีนักวาดที่ขายภาพให้ หรือซื้อมาจากแหล่งขายรูปอย่างถูกลิขสิทธิ์
นอกจากนั้น ในเรื่องของ ‘สไตล์’ การวาด ที่เป็นภาพจำของภาพที่ใช้ AI ไปแล้ว อย่างสไตล์ที่ดูทันสมัย หรืออีกสไตล์ที่เป็นที่นิยมไม่แพ้กันอย่างสไตล์อนิเมชันญี่ปุ่น ทำให้นักวาดที่วาดภาพในสไตล์นี้อยู่แล้ว ถูกตั้งข้อสงสัยหรือโจมตีว่าใช้ AI รวมถึงมีกลุ่มนักวาดที่มองว่านี่คือการ ‘ขโมย’ สไตล์ของนักวาดไป โดยเมธากวีระบุว่า ในทางกฎหมาย สไตล์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจดลิขสิทธิ์ได้ การมีสไตล์ที่เหมือนกันจึงไม่นับว่าผิดลิขสิทธิ์ รวมถึงหลายเครื่องมือที่นักวาดใช้ อาจมีข้อกำหนดในการจัดเก็บข้อมูลภาพวาดไว้ โดยนักวาดไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้
“ในเมื่อเราหยุดการมาของ AI ไม่ได้ ก็ควรทำให้ถูกต้อง โดยจ่ายเงินให้ศิลปินที่ถูกนำผลงานไปเป็นฐานข้อมูล” นิกษามองว่า สิ่งนี้จะทำให้ ‘สูตรลับ’ มีราคา และเป็นหนทางประนีประนอมที่ดี
ในทางตรงกันข้าม งานที่ทำขึ้นโดย AI ก็ยังไม่ได้รับการคุ้มครองตาม พรบ.ลิขสิทธิ์เช่นกัน หรือกล่าวได้ว่า งานที่ผลิตด้วย AI ใครจะนำไปใช้ต่อก็ได้แม้ไม่ใช่ผู้เขียน Prompt ขึ้นมา หรือก็คือไม่ใช่เจ้าของงานนั้นๆ
ศิริลักษณ์ รุ่งเรืองกุลดิษฐ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กรมทรัพย์สินทางปัญญา อธิบายว่า กฎหมายลิขสิทธิ์ปัจจุบันคุ้มครองผลงานที่มีผู้สร้างขึ้น ซึ่งก็คือมนุษย์ โดยงานที่จดแจ้งได้ จะต้องครอบคลุม 9 ประเภทของงานลิขสิทธิ์ คือ ศิลปกรรม, งานวรรณกรรม, นาฏกรรม, ดนตรีกรรม, โสตทัศน์วัสดุ, ภาพยนตร์, สิ่งบันทึกเสียง, งานแพร่เสียง แพร่ภาพ, งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
อย่างไรก็ดี ปัจจัยหลักที่ใช้พิจารณาคือการที่มนุษย์ต้องมีการใช้ ‘ความวิริยะ’ ในการทำภาพขึ้นมา แล้วใช้ AI เข้ามาช่วย เช่น อาจช่วยในการลงสี หรือ “มนุษย์ Draft AI Craft” ก็จะถือว่างานนั้นมีมนุษย์คนนั้นเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ หรือแม้กระทั่งงานที่สร้างด้วย AI หากพบว่ามีการตั้งใจเขียน Prompt อย่างละเอียด โดยอาจเห็นว่าเขียนยาวเป็นหน้ากระดาษ ก็อาจตีความว่ามนุษย์ใช้ความวิริยะในการสร้างภาพนั้นขึ้นมาได้
- คุณค่าทางงานศิลปะ
ทุกฝ่าย (แม้แต่ผู้ใช้ AI) มองคล้ายๆ กันว่า ‘ความเป็นศิลปะ’ คือการที่สิ่งนั้นสามารถสื่อสารอะไรออกไปได้ และทำงานกับความรู้สึกของเราได้ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่ ‘มนุษย์’ สร้างขึ้น หรือที่เรียกว่า ‘Human Touch’
“ทุกการลงสี ทุกฝีแปรง ถูกขับดันจากข้างในว่ามันจะต้องออกมาเป็นแบบนี้” สุกรีอธิบาย และเล่าถึงประสบการณ์ที่ไปชมภาพวาดของศิลปินชื่อดังอย่างแวนโก๊ะ การได้เห็นรอยเกรียงบนรูปทำงานกับความรู้สึกของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ทำไม่ได้
อย่างไรก็ดี ความหมายของศิลปะก็อาจลื่นไหลไปตามยุคสมัยที่มนุษย์จะให้คุณค่าที่แตกต่างกันออกไปได้ “สุดท้ายแล้ว นิยามคำว่าศิลปะมันไม่สำคัญ มันก็คือทฤษฎีที่เรายกมาอ้างว่าใครผิด ใครถูก เพราะการสร้างสรรค์อาจไม่ต้องใช้มือ แต่อาจเป็นดนตรี กวี ผืนทราย ปลูกต้นไม้ ทำขนม การพูดให้คนฟัง การออกแบบ การจัดเรียงบางอย่าง ทุกอย่างเป็นศิลปะ ถ้าคุณตั้งใจสร้างด้วยความดีและความงาม” เมธากวีสรุป
- การแทนที่มนุษย์
“คิดว่า AI แทนที่มนุษย์ได้แน่นอน คนโรงงานยาสีฟันยังถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรเลย นับประสาอะไรกับศิลปิน” ในฐานะมนุษย์ที่ทำอาชีพสร้างศิลปะ นิกษามองอย่างนั้น อย่างไรก็ดี เมธากวีและสุกรีกลับ “เห็นว่า “AI ไม่มีทางแทนที่มนุษย์ได้”
เมธากวีมองว่ามนุษย์ที่คิดจะใช้ AI เข้ามาช่วยทำงาน ก็ยังต้องมีทักษะและความเข้าใจเรื่องรูปทรง โครงสร้าง สัดส่วน ระยะ และแสงเงา จึงจะสามารถสร้างงานที่สมบูรณ์ออกมาได้ โดย AI ควรเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยเราเท่านั้น และเขาไม่สนับสนุนให้คิดแต่จะใช้ AI โดยไม่เรียนรู้พื้นฐานศิลปะเลย เขาบอกว่า “ผมยังสอนให้คนใช้ AI ต้องฝึกทักษะพื้นฐาน อย่างการฝึก Drawing (วาดเส้น) ถ้า Drawing เก่ง ก็ไม่ต้องกลัวใคร”
เมธากวียกตัวอย่างว่า AI ควรทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์มาช่วยทำในสิ่งที่มนุษย์อาจยังทำไม่ได้สมบูรณ์นัก เช่น เมธากวีต้องการลงสีให้เหมือนทองคำเปลว AI ก็เข้ามาช่วยลงสีให้ได้เหมือนจริง หรือหลังจาก Generate รูปก็ต้องนำมาแก้ต่อเองอยู่ดี
ในประเด็นนี้ ผศ. ศุภวัฒน์ หิรัญธนวิวัฒน์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยกล่าวว่า “AI ไม่ได้ทำให้คนมีจินตนาการลดลง ตรงกันข้าม มันช่วยต่อยอดจินตนาการของเรา” โดยทำให้ภาพที่อยู่ในหัวเกิดขึ้นจริงได้ แล้วเราจะได้เห็นว่าการลงสีแบบที่คิดไว้เป็นอย่างไร สวยไหม หรือควรปรับอย่างไร โดยที่เราไม่ต้องลงมือลองวาดเอง ซึ่งจะช่วยลดเวลาการทำงานของเราและได้ทดลองก่อนลงมือทำจริงมากขึ้น
“เรายังอยู่ห่างไกลจากวันนั้น(ที่ AI จะมาแทนที่ได้)” สุกรีสรุป และอธิบายว่า AI อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ยังมีสถานะเป็นเหมือนลูกน้องของมนุษย์ เช่น ช่วยในการขึ้นโครงร่าง แต่ศิลปินยังคงต้องทำงานต่อจากนั้น และยังไม่สามารถสร้างงานที่มี ‘คุณค่า’ เทียบเท่ากับมนุษย์ได้
“ลองคิดภาพตามว่า เปรียบเทียบดอกไม้ที่สร้างโดยธรรมชาติ กับดอกไม้ที่ถูกสร้างโดยวัสดุใดก็แล้วแต่ ถ้าเราเห็นดอกไม้ในธรรมชาติ เราจะรู้สึกว่ามันมีพลัง มันสวย หรือแม้แต่ดอกไม้ที่มนุษย์นั่งประดิษฐ์ขึ้น มนุษย์ก็จะชื่นชมกับพลังและการพยายาม แต่พอเราไปดูดอกไม้ที่สร้างโดยเครื่องจักร เราจะรู้สึกว่า โห มันดูไม่มีพลังใดๆ เลย แม้จะเหมือนดอกไม้จริงเลยก็ตาม” – สุกรี
อย่างไรก็ดี สุกรีเห็นว่ามนุษย์ในยุคต่อๆ ไป อาจยึดถือคุณค่าต่างกับมนุษย์ปัจจุบัน โดยอาจมองว่างานของ AI นั้นน่าประทับใจและมีพลังต่อความรู้สึกมากขึ้นก็เป็นได้ และนั่นถึงจะเป็นจุดที่ทำให้ AI เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ หรือแม้กระทั่งในช่วงชีวิตนี้ของเรา
กฎหมายแรงงานที่อ่อนแอ และตามไม่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เกศนคร พจนวรพงษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘สหภาพแรงงานสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย’ (Creative Workers Union Thailand – CUT) เล่าว่า “เมื่อเราลองมาพิจารณากรณีต่างๆ เราอาจเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า AI ก็เป็นแค่อีกเครื่องมือหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเอาเปรียบแรงงาน เมื่อภาคแรงงานของไทยนั้นมีช่องว่างให้เกิดการเอาเปรียบที่มากพอ”
เกศนคร ระบุว่า แรงงานสายสร้างสรรค์จำนวนมากอยู่ในสถานะของ Cloud Worker หรือแรงงานที่มีการจ้างงานผ่านแอปพลิเคชัน เช่น นักเขียนนิยายออนไลน์ นักวาดเว็บตูน ฟรีแลนซ์กราฟิกดีไซน์ โดยรับงานผ่านแอปที่มีการหักค่าบริการหรือหักหัวคิว ซึ่งล้วนเป็นการจ้างงานรูปแบบใหม่และยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน
นอกจากนั้น ตามกฎหมายแรงงานของไทยในขณะนี้ การทำงานของแรงงานแพลตฟอร์ม (หรือให้เห็นภาพคือ เหมือนกับไรเดอร์ส่งอาหาร) ที่จะถูกควบคุมการทำงาน การสั่งงาน การได้รับค่าตอบแทน เงื่อนไขต่างๆ ในการทำงานด้วยสัญญาจ้างในรูปแบบของอัลกอริทึม โดยแรงงานไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขใดได้เลย อย่างการกำหนดสิทธิของตัวเอง หรือเลือกจำนวนส่วนแบ่ง โดยทำได้เพียงยินยอมตามสัญญาจ้างแบบสำเร็จรูปตอนสมัครเท่านั้น “นี่คือการที่เทคโนโลยีถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบแรงงาน” เกศนครสรุป
เกศนคร สรุปสาเหตุสำคัญที่ทำให้ AI กลายมาเป็นสิ่งที่เอาเปรียบคนทำงาน ดังนี้
- กฎหมายแรงงานที่อ่อนแอ: ทำให้การเลิกจ้างคน และทำให้การกดขี่แรงงานกลายเป็นเรื่องง่าย เป็นแรงงานราคาถูกที่ต่างชาติจ้างเหมาในราคาที่ต่ำ
- อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยที่อยู่ในฐานะบริษัทรับจ้างเหมา (Sub contract): การรับงานของต่างประเทศมาทำอีกทอด ส่งผลให้บริษัทไม่มั่นคง และยืนระยะอยู่เองไม่ได้เมื่อประเทศต้นทางที่เป็นผู้จ้างเกิดปัญหา ไม่สามารถแจกงานได้เหมือนเดิม ส่งผลให้มีปัญหาทางการเงินและเลิกจ้างคน หรือนำ AI มาใช้ทั้งที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่ามนุษย์ แต่ลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า
- แรงงานไม่มีอำนาจต่อรอง: แรงงานไม่มีอำนาจรวมตัว ต่อรอง หรือยื่นข้อเรียกร้องใด ๆ กับบริษัท ผู้พัฒนา AI จนไปถึงผู้กำหนดนโยบายการกำกับดูแล AI ได้
เกศนครทิ้งท้ายว่า AI เป็นเพียงเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้กดขี่แรงงานได้ในประเทศที่กฎหมาย อุตสาหกรรม และอำนาจของแรงงานอ่อนแอ โจทย์การแก้ไขปัญหานี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ ‘ควรใช้หรือไม่ใช้ AI’ ที่เป็นแค่เรื่องปลายน้ำ แต่เป็น ‘การทำอย่างไรให้คนทำงานมีความมั่นคง’ ที่ไม่ว่าจะเกิดการแทรงแซงของเทคโนโลยีประเภทใดในอนาคตก็จะไม่เกิดเหตุการณ์การเอาเปรียบแรงงานมนุษย์ขึ้น
หลากหลายประเด็นเอาเปรียบแรงงานนี้ กลุ่มสหภาพแรงงานสร้างสรรค์ (CUT) จึงเสนอให้มีการผลักดันเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนทำงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ตั้งแต่การรแก้กฎหมายแรงงานให้เป็นสากลมากขึ้น และสนับสนุนการรวมตัวเพื่อสร้างอำนาจในการเจรจาต่อรอง หรือโดยสรุปคือนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งคือการที่แรงงานไร้อำนาจ ไม่สามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้
นโยบายที่ควรจะเป็น และบทบาทของสหภาพแรงงาน
ล่าสุด สหภาพยุโรป (EU) มีการออกกฎหมายควบคุม AI ฉบับแรกของโลก เรียกว่า EU Artificial Intelligence Act ว่าด้วยการกำกับดูแล AI ภายในสหภาพยุโรปให้ปลอดภัยต่อมนุษย์ และลงรายละเอียดรูปแบบ AI ที่ถูกสั่งห้าม โดยครอบคลุม AI ที่อาจเป็นภัยต่อสิทธิพลเมือง รวมไปถึงประเด็นด้านการต่อต้านการผูกขาดการใช้ AI จากบริษัททุนใหญ่ เพื่อให้บริษัทเล็กสามารถเติบโตในสนามเทคโนโลยี
อย่างไรดี ปัจจุบันยังไม่มีนโยบายใดในระดับสากลที่ระบุถึงตลาดแรงงานที่ถูก AI แทรกแซง แต่ในเบื้องต้น เกศนครแห่งว่ามีแนวทางของ EU AI Act ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการกำกับดูแล AI และเห็นว่านำมาปรับใช้ในไทยได้ แต่สำหรับการทำให้ภาคแรงงานเข้มแข็งขึ้นจำเป็นจะต้องมีข้อเสนออื่น ๆ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างเดิมของไทยที่อ่อนแอ ได้แก่
- แก้ไขกฎหมายแรงงานให้เป็นสากล กฎหมายแรงงานต้องคุ้มครองแรงงานทุกประเภท
- รับรองอนุสัญญา ILO 87, 98 ว่าด้วยอำนาจในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง: เพื่อเป็นหลักประกันการรับรองสิทธิลูกจ้างทั้งไทยและต่างด้าวให้จัดตั้ง รวมตัว และต่อรองกับนายจ้างได้ หรือก็คือการให้จัดตั้ง ‘สหภาพแรงงาน’
- เพิ่มการกำกับดูแล AI และการเก็บภาษีเทคโนโลยี
และที่สำคัญ การออกมาแสดงพลังเรียกร้องของสหภาพก็มีส่วนที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สหภาพแรงงาน SAG-AFTRA ในสหรัฐอเมริกา ที่ต่อต้านการนำน้ำเสียงและใบหน้าของนักแสดงมาเป็นฐานข้อมูล AI และยังมีประเด็นอื่นๆ อย่างการขึ้นค่าแรงให้แก่นักเขียนบท การเพิ่มจำนวนแรงงาน และการปรับสัญญาจ้างให้แรงงานได้รับส่วนแบ่งจากการฉายสตรีมมิ่ง โดยการต่อสู้ครั้งนี้กินระยะเวลา 5 เดือน และจบลงด้วยชัยชนะของสหภาพแรงงาน
ดังนั้น แม้สหภาพแรงงาน จะเป็นกลไกของคนทำงานที่ใช้ในการต่อรองกับขั้วอำนาจอื่นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ‘ทุน’ ผู้ซึ่งถือครองเทคโนโลยี ที่แม้จะมีจำนวนคนน้อยแต่กำหนดทิศทางสังคมได้ สหภาพแรงงานจึงมีความสำคัญในฐานะเป็นองค์กรที่ทำให้คนทำงานมารวมตัวกัน เพิ่มอำนาจในการผลักดันสิ่งต่าง ๆ ที่คนทำงานเหล่านั้นเห็นว่าเป็นวาระสำคัญร่วมกัน
อ้างอิงจาก