“…ตื่นเถิดหญิง ความจริงเธอยิ่งใหญ่ สิทธิ์ควรได้ร่วมแรงแสวงหา ประเพณีกำหนดกฎออกมา เธอต้องฝ่ากฎเหล่านี้สตรีไทย…” บทเพลงภารดร ของคุรุชน ที่สะท้อนการตื่นรู้ของสตรีไทย
ในวาระครบ 52 ปี 14 ตุลาฯ และ 49 ปี 6 ตุลาฯ The MATTER เข้าร่วมกิจกรรม ‘ล้อมวงเล่า’ หัวข้อ ‘การเคลื่อนไหวของผู้หญิงในทศวรรษ 2510’ ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนได้แก่ เนตรนภา คุณทอง อดีตประธานกลุ่มผู้หญิงมหาวิทยาลัยมหิดล และ สุนี ไชยรส อดีตสมาชิกกลุ่มผู้หญิงและสมาชิกสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2516
‘จาก 2475 ถึงศรีบูรพา’ กำเนิดความคิดเรื่องความเท่าเทียม

การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คือต้นธารใหญ่ของสิทธิสตรีไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงได้รับสิทธิเลือกตั้งเท่าเทียมผู้ชาย และได้รับการยอมรับในฐานะพลเมืองอย่างแท้จริง
ต่อจากนั้นรัฐเริ่มปรับกฎหมายเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ เช่น ‘แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276’ เพื่อคุ้มครองจากความรุนแรงทางเพศ รวมถึงกฎหมายด้านแรงงาน การศึกษา และการดำรงตำแหน่งราชการ ให้หญิงชายเข้าถึงสิทธิและโอกาสอย่างเสมอภาค
ช่วงปลายทศวรรษ 2490–2510 แนวคิดสังคมนิยม เริ่มมีอิทธิพลในหมู่ปัญญาชน นิตยสารอักษรสาส์น (2492–2495) กลายเป็นเวทีสำคัญของนักคิดรุ่นใหม่ในการตั้งคำถามต่อ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมทางเพศ
หนึ่งในเสียงโดดเด่นคือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) ผู้วิพากษ์ระบบชายเป็นใหญ่และความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเพศ เขานำแนวคิดของ Frederick Engels จาก The Origin of the Family, Private Property and the State มาประยุกต์อธิบายว่าสังคมและโครงสร้างชนชั้นคือรากของการกดขี่เพศหญิง
ขณะที่นิยายข้างหลังภาพ และสงครามชีวิต ก็ท้าทายศีลธรรมจารีตและความสัมพันธ์ชายหญิงที่ไม่เท่าเทียม จนกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของวรรณกรรมสังคมวิพากษ์

(ซ้าย) เนตรนภา คุณทอง อดีตประธานกลุ่มผู้หญิงมหาวิทยาลัยมหิดล และ (ขวา) สุนี ไชยรส อดีตสมาชิกกลุ่มผู้หญิงและสมาชิกสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2516
เนตรนภา คุณทอง ชี้ว่า ยุค 2475 ทำให้ผู้หญิงมีที่ทางมากขึ้น ทั้งการเข้าถึงการศึกษาและสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ จอมพลถนอม กิตติขจร (ราว พ.ศ. 2500–2515) บทบาทผู้หญิงกลับถูกลดทอนลงอีกครั้ง
ขณะที่ สุนี ไชยรส เสริมว่า สังคมไทยอยู่ใต้เผด็จการเกือบ 10 ปี เธอจึงตั้ง ‘กลุ่มผู้หญิง’ ในธรรมศาสตร์ เพราะเชื่อว่าผู้หญิงต้อง empower ตัวเอง ก่อนจะก้าวสู่การเมือง
‘ยุค 14 ตุลาฯ’ ขบวนการสตรีและการเมืองสังคมใหม่
ผลสะเทือนจากกระแสความคิดข้างต้น ทำให้ทศวรรษ 2510 กลายเป็นจุดเปลี่ยนของขบวนการนิสิตนักศึกษา หนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกจดจำคือ การประท้วงการประกวดนางงามวันวชิราวุธ ปี 2515 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศ เนื่องจากประชาชนภาคเหนือและอีสานอดอยากหนาวตาย และยังเป็นการลดทอนผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ
เนตรนภาย้อนว่า ช่วง 2516–2519 คือห้วงเวลาที่ผู้หญิง ‘ตื่นตัวที่สุด’ เพราะประชาธิปไตยเบ่งบาน ประเด็นสิทธิผู้หญิงถูกชูขึ้นชัดเจน ตั้งแต่การยืนยันว่า “ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของ” ไปจนถึงค่าแรงเท่ากัน และการสนับสนุนสิทธิของแรงงาน กรรมกร ชาวนา ทว่างานติดป้ายรณรงค์ยังต้องทำตอนกลางคืน เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดขวางจากผู้ไม่เห็นด้วย
หลัง 14 ตุลาคม 2516 การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแผ่ขยายสู่ประเด็นสิทธิสตรี กลุ่มนักศึกษาหญิงจากหลายมหาวิทยาลัยรวมเป็น ‘กลุ่มผู้หญิง 10 สถาบัน’ เพื่อผลักดันความเสมอภาคทางกฎหมายและหนุนขบวนการแรงงาน

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ในปีเดียวกัน ชุมนุมนิสิตหญิงคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ตีพิมพ์หนังสือขบวนการดอกไม้บาน พร้อมบทกวีขึ้นต้นว่า “ดอกไม้มีหนามแหลม มิใช่แย้มคอยคนชม…” สื่อสารว่าผู้หญิงไม่ใช่เพื่อให้มองแต่พร้อมสู้กับความอยุติธรรม
ขณะเดียวกัน จิตร ภูมิศักดิ์ วิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมทางเพศในกรอบศักดินาและทุนนิยม ผ่านบทกวีเธอคือผู้หญิงรับจ้างแท้ใช่แม่คน และบทความอดีต ปัจจุบัน อนาคตของสตรีไทย ที่ชี้ชวนให้ผู้หญิงลุกขึ้นเปลี่ยนสังคมด้วยตนเอง ซึ่งกระแสนี้ผลักให้ปี 2518 ไทยจัดวันสตรีสากล อย่างเป็นทางการครั้งแรก และจิระนันท์ พิตรปรีชา ตีพิมพ์โลกที่สี่ ปลุกสำนึกพลังผู้หญิง พร้อมสโลแกน “สตรี เสมอภาค สร้างสรรค์”
สุนี ระบุว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2517 ยกระดับสิทธิชายหญิงอย่างเท่าเทียม แต่ถูกฉีกหลัง 6 ตุลาฯ เธอยังเล่าถึงบทบาทในฐานะนักศึกษาเคยลงพื้นที่โรงงานเพื่อเข้าใจชีวิตแรงงาน ขณะที่เพื่อนๆ ช่วยสอนหนังสือให้ชาวบ้าน ในขณะเดียวกัน ฤดี เริงชัย นักเขียนหญิง เผยแพร่ปัญหาและทางการต่อสู้ของผู้หญิง ผลักให้การต่อสู้ของผู้หญิงเชื่อมกับชนชั้นและแรงงาน ไม่ใช่เพียงสิทธิทางเพศ

สุนี ไชยรส อดีตสมาชิกกลุ่มผู้หญิงและสมาชิกสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2516
ทั้งนี้ กรณีโรงงานกางเกงยีนฮาร่า คือตัวอย่างสำคัญของการเรียกร้องของคนงานหญิง ที่ประท้วงค่าแรงไม่เป็นธรรม ทว่าถูกตอบโต้หนัก แรงงานและนักศึกษาถูกจับ โรงงานถูกยึดคืนในข้อหาผิดกฎหมายแรงงาน “ตอนนั้น เกษตรกร กรรมกร นักศึกษา ที่เป็นผู้หญิง ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก จากอุดมการณ์ ขวาพิฆาตซ้าย” อดีตสมาชิกกลุ่มผู้หญิงกล่าว
บทบาทของผู้หญิงท่ามกลาง ‘เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519’

เนตรนภา คุณทอง อดีตประธานกลุ่มผู้หญิงมหาวิทยาลัยมหิดล
หลัง 14 ตุลาฯ 2516 ถือเป็นห้วงเวลาแห่งความหวังทางการเมือง แต่ 6 ตุลาคม 2519 กลับบาดลึกในความทรงจำ สังคมที่แตกขั้วระหว่างฝ่ายขวาและซ้าย ผลักให้ผู้หญิงที่เข้าร่วมการเมือง ถูกทำให้เป็นวัตถุทางเพศ ถูกลดคุณค่า และตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางร่างกายและจิตใจอย่างโหดร้าย
เนตรนภา เล่าว่างานสำคัญของนักศึกษาหญิงในวันนั้นคือ ช่วยบุคลากรแพทย์ เช่น ถือถุงน้ำเกลือกลางเสียงปืนที่ยิงเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างต่อเนื่อง เธอเล่าว่าเหตุการณ์ที่ฝังใจที่สุดคือ การถูกบังคับถอดเสื้อผ้า แม้เธอจะยืนกรานไม่ยอม จนถูกขู่ว่า “ถ้าไม่ถอด เดี๋ยวถอดให้” เธอยอมรับว่าทั้งกลัวและอับอาย เพราะไม่สามารถปกป้องตนเองได้ ซึ่งมีผู้หญิงถูกจับกุมจำนวนมาก ระหว่างถูกคุมขัง ทุกคนคอยประคับประคองกัน ให้กำลังใจกัน ทั้งที่พื้นที่แออัด ไร้สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน ไม่มีผ้าอนามัย ไม่มีทิชชู่ หลังเหตุการณ์ พ่อแม่ของเธอจึงส่งเธอไปเรียนต่อสิงคโปร์
เมื่อมีนิรโทษกรรมปี 2525 นักศึกษาจำนวนมากทยอยออกจากป่า กลับมาเรียนและทำงาน หลายคนกลายเป็น NGO ขับเคลื่อนสังคม ส่วน สุนี ถูกจองจำในเรือนจำหญิงที่ยังสะท้อน ระบบเจ้าขุนมูลนาย คือเจ้าหน้าที่ผ่านมาผู้ต้องขังต้องนั่งกับพื้น และถ้าทำผิดเพียงแค่เล็กน้อยก็อาจถูกขังเดี่ยว

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
หลังออกจากเรือนจำเธอตัดสินใจเข้าป่า อยู่ร่วมกับขบวนการคอมมิวนิสต์ กว่า 8 ปี และพอกลับมาก็ถูกจับอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต้องพาลูกวัย 2 เดือน เข้าเรือนจำด้วย ต่อมาเธอตัดสินใจฝากลูกออกมาเพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้อ สุดท้ายหลังออกจากเรือนจำในครั้งนี้ เธอทำงานเป็น สสร. ร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 เพื่อผลักดันสิทธิผู้หญิงและเด็กต่อ
ความหมายที่ยังไม่ถูกคืนให้ผู้หญิง

การวิเคราะห์ของ อินทิรา ประกายวงศ์ ในงานวิจัยผู้หญิงที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตยฯ ชี้ว่า 6 ตุลาฯ เผยให้เห็นทั้ง ความรุนแรงทางการเมือง และ ความรุนแรงเชิงโครงสร้างต่อเพศหญิง ผู้หญิงถูกทำให้เป็นเพียง ‘องค์ประกอบ’ ไม่ใช่ ‘ผู้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์’
ทั้งที่หลายคนสละชีวิต สูญเสียอิสรภาพ และเผชิญความป่าเถื่อน เหตุการณ์นี้จึงเป็นทั้ง จุดจบของความฝันประชาธิปไตยระยะหนึ่ง และจุดเริ่มต้นการนิยามผู้หญิงในพื้นที่การเมือง เพราะแม้ถูกกดทับ เสียงของพวกเธอกลับเป็นแรงบันดาลใจให้ขบวนการสตรีรุ่นต่อมา กล้าตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐ และยืนยันว่าผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียม ในการนิยามประชาธิปไตยของตนเอง
จนถึงวันนี้ 6 ตุลาฯ ยังคงเป็น บาดแผลทางประวัติศาสตร์ ที่ต้องการการชำระความยุติธรรม และคืนเสียงให้ผู้หญิงในประวัติศาสตร์ฉบับประชาชน
ผู้หญิงในยุคเอ็นจีโอและการต่อสู้รูปแบบใหม่
กว่าครึ่งศตวรรษหลัง 14 ตุลาฯ ผู้หญิงไทยจำนวนมากยังยืนแถวหน้าเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ใช่ผู้ตาม แต่คือผู้กำหนดทิศทางของสังคม หลายคนเคยเข้าป่า ต่อสู้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ทว่าได้เรียนรู้ว่าการปฏิวัติจะไม่สำเร็จ หากยังมองข้ามความเท่าเทียมทางเพศ บทเรียนนี้ผลักให้เกิดขบวนการสตรีรูปแบบใหม่ ในช่วงทศวรรษ 2520–2530 ผ่านการตั้งองค์กรภาคประชาชน (NGO) ที่ทำงานเชิงโครงสร้าง อาทิ
- มูลนิธิเพื่อนหญิง (Friends of Women Foundation) ช่วยเหลือผู้หญิงในวิกฤต ความรุนแรงในครอบครัว การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การล่อลวงค้าประเวณี
- มูลนิธิผู้หญิง (Women’s Foundation) ตั้งศูนย์ข่าวผู้หญิง ให้ข้อมูลแรงงานหญิงและผู้หญิงที่ไปทำงานต่างประเทศ
- Empower Foundation ทำงานกับหญิงบริการทางเพศ ผลักดันให้เห็น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิในการรวมตัว

องค์กรเหล่านี้เปลี่ยนวาทกรรมผู้หญิงจากเหยื่อที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ เป็นผู้กำหนดการเปลี่ยนแปลง และค่อยๆ ดันความเท่าเทียมทางเพศ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐ และความคิดสาธารณะรุ่นต่อรุ่น
ผลลัพธ์ที่เห็นชัดในยุคหลังคือการเกิดขึ้นของ กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก ซึ่งไม่เพียงเคลื่อนไหวเรื่องประชาธิปไตย หากยังขยายสู่ สิทธิทางเพศและสิทธิในร่างกาย ข้อเรียกร้องประกอบด้วย ยกเลิกภาษีผ้าอนามัย, ยุติการเอาผิดพนักงานบริการทางเพศ, ทำแท้งเสรีและปลอดภัย และการยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย
“กวาดจับนักศึกษากรรมกร คุมตัวรองเลขาศูนย์นิสิตฯ” – พาดหัวข่าวปี 2516 คือเครื่องเตือนใจว่า ขบวนการนิสิตนักศึกษาและขบวนการสตรีไทย ไม่ได้เริ่มที่ 14 ตุลาฯ 2516 และไม่ได้จบที่ 6 ตุลาฯ 2519 แต่เสียงของผู้หญิงยังคงบานสะพรั่งและแข็งแกร่งเสมอมา
อ้างอิงจาก
ณัฐรุจา วีระธรรม (2563). การสื่อสารกับการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ในประเด็นสิทธิสตรีในสังคมไทย: กรณีศึกษา กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก. วิทยานิพนธ์ วารสารศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อินทิรา ประกายวงศ์ (2565). ผู้หญิงที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตย: มุมมองและประสบการณ์ที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองในสังคมไทย. วารสารธรรมศาสตร์