เมื่อกล่าวถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคเดือนตุลา ความทรงจำและบันทึกส่วนใหญ่มักถูกถ่ายทอดผ่านศูนย์กลางการต่อสู้อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น้อยคนที่จะได้ยินเรื่องราวเบื้องหลังของผู้ร่วมขบวนการจากรั้ว ‘มหาวิทยาลัยรามคำแหง’ และความซับซ้อนของอิทธิพลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่แผ่ขยายเข้ามาในขบวนนักศึกษาขณะนั้น
ในห้วงเวลาดังกล่าว อดีตนักศึกษารามคำแหงคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่เป็นผู้ประสบเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ยังเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ พคท. พร้อมบทบาทสำคัญในการส่งข่าวและประสานงาน ท่ามกลางบรรยากาศการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางการเมือง
ปฏิวัติบนสายรุ้ง วรรณกรรมประวัติศาสตร์ที่เล่าเรื่องราวการต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ ความฝันถึงสังคมที่ดีขึ้นของคนหนุ่มสาวที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ภายใต้การปราบปรามอันโหดเหี้ยม พร้อมสาเหตุที่นักศึกษาบางส่วนหันมาจับกระบอกปืนและเข้าร่วมกับ พคท.
The MATTER ได้พูดคุยกับ ชุติมา พญาไฟ ผู้เขียนหนังสือที่มีความหนา 776 หน้า ถอดเรื่องราวสะท้อนชีวิตผ่าน คมแสง ชิงชัย และ พลอย นักศึกษารามคำแหง โดยการเปิดเผยข้อมูลและเชื่อมโยงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ผ่านวรรณกรรมประวัติศาสตร์เล่มนี้
รู้จักนักเขียน ‘ชุติมา พญาไฟ’
“ถ้านับย้อนไปช่วง 14 ตุลาฯ ผมอายุ 21 ย้ายมา 3 มหา’ลัย ก่อนตัดสินใจเข้าเรียนรามฯ” ชุติมา กล่าว
ชุติมา พญาไฟ (นามปากกา) ผู้เขียนหนังสือปฏิวัติบนสายรุ้ง ปัจจุบันเป็นคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าวมติชนสุดสัปดาห์ในอีกนามปากกา เล่าว่า เขาได้เปลี่ยนมหาวิทยาลัยมาแล้วถึง 3 ครั้ง คือ เชียงใหม่-จุฬาฯ-มหิดล-รามคำแหง โดยโยกย้ายจากคณะสายวิทย์อย่างคณะทันตแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์ และเตรียมแพทย์ มาเป็นคณะสายสังคมอย่างคณะรัฐศาสตร์
เขาเคยเป็นหนึ่งในสมาชิก ‘กลุ่มฟื้นฟูโซตัสใหม่’ กลุ่มต่อต้านระบบโซตัสในจุฬาฯ และเริ่มมีแนวคิดแบบสังคมนิยมเมื่อไปอยู่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเขายังไม่ได้รู้จักกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่เข้ามาเป็นนักศึกษารามคำแหง เพราะมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยเปิด อาจทำให้เขาสามารถขับเคลื่อนหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น
เนื่องจากการเมืองไทยในช่วงปี 2510 ถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารอย่างยาวนาน ประกอบกับบริบทสังคมในยุคสงครามเย็นซึ่งรัฐไทยมองว่าผู้แสดงออกทางการเมือง อาจเป็น ‘คอมมิวนิสต์’ หรือ ‘ภัยความมั่นคง’ พร้อมการกดปราบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปิดพื้นที่ทางการเมืองของประชาชน พร้อมผลักให้คนหันไปหาความคิดแบบสังคมนิยมมากขึ้น

ภาพ การชุมนุมเรียกร้องให้ถอนคำสั่งการลบชื่อนักศึกษา 9 คน ภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ปีการศึกษา 2516 ชุติมาเข้าเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ ‘รามคําแหง 9’ หรือคำสั่งลบชื่อนักศึกษา 9 คน ออกจากทะเบียนนักศึกษา เหตุร่วมกันออกหนังสือที่มีชื่อว่า รามคำแหงมหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำตอบ
ตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น กล่าวว่า “สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าทั้งหลายไปอีก 1 ปี” ซึ่งถูกมองว่าพาดพิงพฤติกรรมของรัฐบาลคณะปฏิวัติ จากกรณีทุ่งใหญ่นเรศวรและกรณีการต่ออายุราชการของ จอมพล ถนอม กิตติขจร ในฐานะผู้บัญชาการทหารสุงสุด และ จอมพล ประภาส จารุเสถียร ผู้บัญชาการทหารบก คนละ 1 ปี โดยถนอมเคยได้รับการต่ออายุมาก่อนหน้านั้นแล้ว
เรื่องราวดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘คมแสง (ตัวละครหลัก)’ ในหนังสือปฏิวัติบนสายรุ้ง ผู้อยู่ในเหตุการณ์สำคัญหลายครั้ง ตั้งแต่ 14 ตุลา 2516 การจลาจลพลับพลาไชย การล้อมปราบผู้นักศึกษา ชาวนา และกรรมกร จนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งสะท้อนถึงพลวัตของขบวนการนักศึกษา การตัดสินใจเข้าร่วมกับ พคท. และการเลือกใช้ทาง ‘ปืน’ ของนักศึกษาบางกลุ่ม
ทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงชื่อ ‘ปฏิวัติบนสายรุ้ง’
“หลังจากที่กลับมาแล้ว (จากการเข้าป่า) ผมมีความคิดว่า ตอนเราเด็กๆ เราวาดภาพสังคมนิยม วาดภาพของการต่อสู้ โดยคิดว่าเหล่านี้เป็นภาพสวยงาม เหมือนเวลาเราเห็น ‘รุ้ง’ และเคยสงสัยตอนเด็กๆ ว่า เราขึ้นไปบนรุ้งได้ไหม?” ชุติมา กล่าว
เดิมหนังสือเล่มนี้ชื่อ ‘ปีนสายรุ้ง’ แต่สำนักพิมพ์แสงดาวแนะนำให้ปรับพร้อมใส่คำโปรยที่หน้าปกว่า ‘14 ตุลา 16 – 6 ตุลา 19 บทเรียนที่แลกด้วยชีวิต’ เพราะเกรงคนจะงงว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร
แน่นอนว่า ชื่อหนังสือและคำโปรยดังกล่าวสร้างแรงดึงดูดให้ผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์การเมืองของประชาชนในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงท้ายของหนังสือได้ทิ้งเรื่องราวของการเริ่มเข้าป่าของคมแสงและชิงชัยไว้ ซึ่งอาจเป็นภาคต่อของหนังสือเล่มนี้
‘รุ้ง’ เปรียบเหมือนเส้นทางแห่งความฝันและความหวังของชุติมา ที่ต้องแลกมาด้วยการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น โดยล้อกับภาพความคิดวัยเด็กของเขาที่อยากลองปีนขึ้นไปบนรุ้งเพื่อข้ามไปอีกฟากหนึ่งของรุ้งดูสักครั้ง
ทำไมถึงเขียนหนังสือเล่มนี้และมีวิธีการค้นคว้าและยืนยันข้อมูลอย่างไร?
ชุติมาเล่าว่า เดิมหนังสือเล่มนี้จะเน้นหนักไปที่เหตุการณ์ช่วงก่อน 6 ตุลา 2519 จนถึงการล้อมปราบที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวในช่วงเวลานั้นมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 14 ตุลา เขาจึงใส่เนื้อหาเหล่านี้เพิ่มทีหลัง
ส่วนเหตุการณ์ช่วง 6 ตุลา ชุติมาได้เขียนและเรียบเรียงไว้ก่อนแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหาร 2549 และเริ่มลงมติชนในปี 2551 ก่อนจะพักการเขียนไปเพื่อไปเขียนบทวิเคราะห์การเมืองแทน จากนั้นเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะลืมเรื่องราวในช่วงนั้น จึงกลับมาเขียนอีกครั้งและตีพิมพ์ครั้งแรกกับสำนักพิมพ์แสงดาวในปี 2565
“ผมคิดจะเขียนไว้นานแล้ว จนกระทั่งวันที่เขาปฏิวัติ 2549 สถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดี ตอนนั้นผมไม่ถนัดเขียนนิยาย แต่ผมก็เขียนเพราะมันง่าย โดยเฉพาะในยุคสมัยที่เผด็จการเรืองอํานาจ เขาจะเขียนนิยายกัน” ชุติมา กล่าว
เดิมชุติมาไม่ใช่นักเขียนสายวรรณกรรม เขาถนัดเขียนบทความวิเคราะห์การเมืองมากกว่า แม้อดีตจะเคยมีคนทักเขาว่า “ไปทางแต่งกลอนได้นะ” แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งได้พูดคุยกับรพีพรซึ่งให้คำแนะนำในการเขียนนิยาย ผ่านการพากย์เรื่องราวของผู้คนที่อยู่ตรงหน้า พร้อมให้เครื่องพิมพ์ดีดมาหนึ่งเครื่องแม้ชุติมาจะใช้ไม่เป็นก็ตาม
“ผมใช้วิธีเขียนลงกระดาษ อ่านให้ลูกช่วยพิมพ์ตั้งแต่เด็ก…แต่สมัยนี้มีไมค์และโปรแกรม ผมก็หยิบไมค์ใช้วิธีพูดเอา แล้วเอามาแก้คำผิดทีหลัง” ชุติมา เล่าวิธีการเขียนหนังสือของเขา
ชุติมาเลือกใช้ข้อมูลจากประสบการณ์ของเขาเป็นแกนหลักของเรื่อง ก่อนโทรถามเพื่อนร่วมขบวนการขณะนั้น ว่าแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะช่วง 14 ตุลา ที่เขายังไม่มีบทบาทในขบวนการเคลื่อนไหวมากนัก เพื่อตรวจสอบข้อมูลและนำเนื้อหาต่างๆ มาเรียบเรียง ก่อนนำเสนอผ่านวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้
“การเขียนจะใช้ข่าวเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำ…ผมให้หลานที่เรียนปริญญาโทไปหอสมุดแห่งชาติ แล้วถ่ายข่าวในหนังสือพิมพ์ช่วงนั้นมาให้เรียบเรียงข้อมูล คือเราอยู่ในเหตุการณ์ เราจำวันไม่ได้เป๊ะๆ แต่ถ้าอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเดียวเขาก็จะไม่รู้รายละเอียดในเหตุการณ์ลึกเท่าเรา” ชุติมา กล่าว
นอกจากเหตุการณ์ในมุมมองของนักศึกษาแล้ว ปฏิวัติบนสายรุ้งยังใส่เรื่องราวในมุมมองของกลุ่มบุคคลนิรนามซึ่งมีอำนาจสั่งการและวางแผนนำสถานการณ์การเมืองต่างๆ ผ่านบทสนทนาใน ‘เซฟเฮ้าส์’ ซึ่งชุติมาได้จินตนาการบทสนทนาเหล่านี้ ผ่านหนังสือพิมพ์ที่รายงานข้อเสนอ-ข้อตกลงของประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาขณะนั้น
สุดท้ายนี้ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อดีตนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ไทย มีส่วนร่วมตรวจทานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของหนังสือเล่มนี้ พร้อมให้คำแนะนำว่าการเขียนในรูปแบบนิยายจะน่าติดตามกว่าการร้อยเรียงเหตุการณ์แบบทื่อๆ เพราะถึงตัดตัวละครต่างๆ ออกไป ชีวิตของนักเคลื่อนไหวจากรามคำแหงก็ยังเหมือนนิยายอยู่ดี
ขบวนการนักศึกษาขณะนั้น มีความสัมพันธ์กับขบวนต่อสู้กับเผด็จการพม่าจริงหรือไม่?
หากใครได้อ่านหนังสือปฏิวัติบนสายรุ้งจะพบว่า นอกจากถ่ายทอดเรื่องราวของขบวนการนักศึกษาในประเทศไทยแล้ว คมแสงยังได้มีส่วนเข้าไปพัวพันกับขบวนการประชาชนต่อต้านเผด็จการของพม่าอีกด้วย
เมื่ออ่านแล้วก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ขบวนการนักศึกษาได้ติดต่อและให้ความช่วยเหลือกับขบวนการประชาชนต่อต้านเผด็จการของพม่าจริงหรือไม่? เพราะเรื่องราวดังกล่าวแทบไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ขบวนการประชาชนเดือนตุลาที่ผ่านมา
“สมัยนั้นเราไม่มีการเชื่อมต่อกับขบวนการในพม่าเลย แต่ผมสมมติให้มีขึ้นมา…ตอนนั้นออง ซาน ซู จี ถูกจับ ด้วยความโกรธ ผมเลยหาวิธีถ่ายทอดเรื่องนี้ ไปค้นประวัติพม่า ยิ่งค้นยิ่งเจออะไรเยอะ…พอ ยิ่งอ่าน โอ้โห พม่านี่มันเหี้ยมกว่าเราอีก โดนหนักกว่าอีกเว้ย!” ชุติมา กล่าว
ชุติมาเล่าว่า ช่วงที่เขาเขียนหนังสือเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ออง ซาน ซู จี ถูกกักบริเวณในบ้านมาแล้ว 12 ปี และมีการต่อช่วงเวลาการกักบริเวณไปเรื่อยๆ จนได้รับการปล่อยตัวในปี 2553 (ปัจจุบันถูกคุมขังอีกครั้งในเรือนจำหลังการรัฐประหารโดย มิน อ่อง หล่าย ตั้งแต่ปี 2564)
เมื่อเขาเห็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับ ซู จี และประชาชนในประเทศเมียนมา ชุติมาจึงนึกย้อนไปช่วงที่เขาเคยไปอยู่กินกับชาวกะเหรี่ยง มูเซอ และไทใหญ่ พร้อมกลั่นประสบการณ์เหล่านั้นมาเสริมเติมแต่งควบคู่กับการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองพม่าขณะนั้น ซึ่งถูกปกครองโดย เน วิน และกองทัพพม่า พร้อมโดดเดี่ยวตนเองจากสังคมโลก ทำให้ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก
“ตอนนั้นเราก็ทํางานของเรา ไม่ได้เงยหน้าดู ไม่ได้ช่วยพวกเขาเลยนะ ผมว่านั่นคือข้อผิดพลาดหนึ่งเหมือนกัน” ชุติมากล่าวอย่างเสียดายที่ขบวนการนักศึกษาของไทยไม่ได้ประสานความช่วยเหลือกับขบวนการต่อต้านเผด็จการของพม่าขณะนั้น
คมแสง-ชิงชัย-พลอย ตัวละครเหล่านี้เป็นใคร? มีตัวตนจริงหรือไม่?
แม้ปฏิวัติบนสายรุ้งจะถูกดำเนินเรื่องโดย ‘คมแสง’ นักศึกษารามคำแหงที่ย้ายมาจากจุฬาฯ แต่เขามีเพื่อนคู่คิดช่วยตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ คือ ‘ชิงชัย’ นักศึกษารามคำแหงที่ย้ายมาจากมหิดล และ ‘พลอย’ สาวสวยสุดโหดที่แม่นปืนกว่าใคร
“คนชอบมาถามว่า ผมเป็นใคร ส่วนใหญ่เดาว่าผมเป็นชิงชัย แต่คมแสงก็ใช้ปืนแบบที่ผมใช้ ผมก็เลยบอกไปว่า ‘กูเนี่ยแหละ แบ่งตัวเองเป็นตัวละคร 2 คน เพราะกูได้หมดไง อย่างมึงเรียนมหา’ลัยเดียว มึงจะแยกไง กูมี 4 มหา’ลัย แบ่งยังไงก็เหลือเฟือ” ชุติมา กล่าว
กล่าวโดยสรุปคือ คมแสงและชิงชัยเป็นตัวละครที่ถอดมาจากบุคลิกของชุติมาขณะที่เขาศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมวางภูมิหลังให้ชิงชัยเป็นคนกรุงเทพฯ และคมแสงเป็นคนต่างจังหวัด ซึ่งชุติมามองว่านี่คือ ‘ข้อดี’ ของการเรียนหลายมหาวิทยาลัยของเขา
ส่วนสาเหตุที่ชุติมาแบ่งตัวเองเป็น 2 ตัวละคร เพราะเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะกดดันบ่อยครั้ง คนเรามักมีเสียงในหัวคอยโต้เถียงกันว่าจะเลือกเส้นทางไหน จะสู้หรือจะหนี เขาได้ไปอ่านวรรณกรรมจีนเรื่อง มังกรคู่สู้สิบทิศ ซึ่งมีตัวละครหลัก 2 คน คอยโต้เถียงกันซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศ สะท้อนเหตุและผลของความคิด จึงหยิบกลวิธีดังกล่าวมาใช้ในการเล่าเรื่องครั้งนี้
“ส่วนน้องพลอย ผมเจอเขาในสนามยิงปืน แต่เขาไม่ได้มีชีวิตอย่างงี้” ชุติมา กล่าว
พลอยเป็นตัวละครที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้หญิงที่เขาเคยพบในสนามซ้อมยิงปืน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตึกองค์การนักศึกษารามฯ มากนัก ผู้หญิงคนนั้นมีรูปร่างสูง หน้าคม มาพร้อมเพื่อนอีก 2 คน ซึ่งฝีปืนของเธอค่อนข้างแม่นยำ
ตัวละครสมมติอย่างพลอย ช่วยมาอุดช่องโหว่เรื่องราวที่เปิดเผยไม่ได้ในหนังสือปฏิวัติบนสายรุ้ง ช่วยสร้างความตื่นเต้นผ่านภาพ ‘ผู้หญิงบู๊’ ซึ่งหาได้ยากในขบวนการนักศึกษาตอนนั้น พร้อมถูกกำหนดให้มีเชื้อสายมอญ เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการในพม่าอีกด้วย
กังวลว่าการเปิดเผยเรื่อง ‘นักศึกษามีอาวุธ’ หรือ ‘ความเกี่ยวข้องกับ พคท.’ จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของขบวนการนักศึกษาในสายตาคนอ่านหรือไม่?
“เลี่ยงไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงทุกคนพกปืน ซึ่งมีทะเบียนถูกต้องหมดอะ” ชุติมา กล่าว
หลังจาก แสง รุ่งนิรันดรกุล 1 ใน 9 นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ถูกลบชื่อ ถูกลอบยิงในเดือนสิงหาคม 2517 ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายของคมแสง เขาเคยถูกไล่ยิงจากเหตุการณ์ 14 ตุลาและพลับพลาไชย เมื่อรุ่นพี่ที่เคารพนับถือต้องจากไปกะทันหัน เขาหันมาหยิบปืนเพื่อใช้ป้องกันตัว
ชุติมาเล่าว่า การพกปืนเป็นเรื่องธรรมดาในช่วงเวลานั้น โดยปืนที่พวกเขาพกส่วนใหญ่ก็เป็นปืนที่มีทะเบียนถูกต้อง แม้จะโดนปรับในข้อหาพกปืนโดยไม่มีใบอนุญาตให้พกพา แต่จำนวนเงินที่ถูกปรับก็ยังถือว่าจ่ายไหวสำหรับเขา
นอกจากนั้น เขายังถูกทาบทามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยถูกจับตามองหลังช่วงเข้าร่วมกับ ‘พรรคสัจจธรรม’ ในการเลือกตั้งองค์การนักศึกษาและสภานักศึกษารามคำแหง ทั้งนี้ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของ พคท. เพราะต้องทำงานแบบปิดลับมาก
“(หนังสือเล่มนี้) ผมเขียนแบบค่อนข้างเปิดเผยเยอะเลยนะ เพราะไม่ค่อยมีใครเขียนถึงการทำงานของพรรค แต่ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้อยู่นานหรือมีส่วนร่วมเยอะแบบผมด้วย ผมนัดบ่อย และช่วยประสานงานส่งคนเข้าป่า” ชุติมา กล่าว
ด้วยเหตุผลที่เขามีบทบาทระหว่างการทำงานกับ พคท. และองค์การนักศึกษาค่อนข้างมาก จากการพบปะตามนัดหมายเพื่อส่งข้อมูลหรือคำสั่ง สู่การขอตัดสินใจการเดินหน้าเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งได้รับการยอมรับจากพรรคระดับหนึ่ง และเขายังมีบทบาทสำคัญในการช่วยประสานงานส่งคน ‘เข้าป่า’ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาอีกด้วย
“กว่าผมจะเขียนหนังสือเล่มนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พรรคก็เสียไปแล้ว ความเกรงใจต่างๆ ก็หายไป ช่วงที่ออกจากป่าใหม่ๆ ผมไม่เขียนเลย” ชุติมา กล่าวถึงเหตุผลที่เขาเปิดเผยบทบาทของ พคท. ในหนังสือเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้ถือเป็นตัวแทนเรื่องราวของคนเดือนตุลาหรือไม่?
“ผมมองว่านี่เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ โดยเน้นเรื่องในรามคำแหงซึ่งไม่ค่อยมีคนเขียน” ชุติมา กล่าว
ที่ผ่านมากระแสประวัติศาสตร์เดือนตุลามักเชื่อมโยงกับสถานที่เกิดเหตุอย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือมีนักวิชาการประวัติศาสตร์อย่างจุฬาฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหงที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวไม่แพ้กันกลับไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก
ชุติมาจึงมองว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้บันทึกประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของนักศึกษารามคำแหงตั้งแต่ปี 2516-2519 ซึ่งสะท้อนโครงสรร้างทางสังคมที่ซับซ้อนของมหาวิทยาลัย เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยเปิด มีผู้คนหลากวัย ต่างชนชั้น มาเล่าเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้
“สมัยนั้นการเลือกอธิการบดีโดยนักศึกษาหรือการเลือกองค์การและสภานักศึกษา ค่อนข้างมีผลต่อชีวิตของเด็กที่นั่น ต่างกับมหา’ลัยอื่นๆ เพราะมีคนจนเยอะมาก ที่นั่นเป็นทางออกของคนจํานวนมากที่การศึกษาช่วยยกระดับชีวิตของพวกเขา” ชุติมา กล่าว
นอกจากประวัติศาสตร์การเมืองบนท้องถนนแล้ว การเคลื่อนไหวและต่อสู้เพื่อมีอำนาจในองค์กรนักศึกษาของมหาวิทยาลัยก็ถูกให้น้ำหนักไม่แพ้กัน คือ เมื่อพรรคสัจจธรรมได้รับเลือกตั้งในปี 2517-2518 พวกเขาสามารถดำเนินนโยบายเรื่อง ‘การลดค่าหน่วยกิต’ เพื่อให้ค่าเทอมของนักศึกษาอยู่ในราคาที่พอเอื้อมถึง และมีส่วนร่วมในการเลือกผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยหรืออธิการบดี
ดังนั้น ปฏิวัติบนสายรุ้งจึงไม่ใช่หนังสือที่สะท้อนเรื่องราวและความรู้สึกของผู้คนเดือนตุลาได้ทั้งหมด แต่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของนักศึกษารามคำแหงสมัยนั้น ผ่านมุมมองของชุติมามากกว่า
ในขณะที่เขียนหนังสือเล่มนี้ คาดหวังให้คนอ่านเป็นคนกลุ่มแบบไหน?
“พวกเรานี่แหละ เพราะว่าพอนึกถึงเหตุการณ์พวกนี้ขึ้นมาแล้วนึกไม่ออก พอมาอ่านก็จะนึกออก ว่าตอนนั้นเดินไปตรงนี้ มีคนเขวี้ยงระเบิด อะไรอย่างนี้ หวังให้เพื่อนตัวเอง รุ่นตัวเองอ่าน แค่คนถูกจับจาก 6 ตุลาก็ 3,000 กว่าคนแล้ว” ชุติมา กล่าว
หากพลิกดูท้ายบทและท้ายหนังสือปฏิวัติบนสายรุ้งจะพบว่า มีช่องว่างสำหรับเขียนบันทึกเรื่องราวของแต่ละคนเพิ่มลงไปในแต่ละบท พร้อมข้อความ ‘บันทึกของผู้อ่านที่ร่วมเหตุการณ์’ ซึ่งเขาตั้งใจเว้นไว้เผื่อผู้คนในยุคสมัยเดียวกับเขาได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วเขียนเรื่องราวของตัวเองลงไป
วันที่ 6 ตุลา 2519 มีนักศึกษาและประชาชนที่รอดชีวิตอย่างน้อย 3,094 คน ถูกจับกุมภายในวันนั้น และมีอีกหลายคนที่หลบหนีเข้าป่า บ้างก็ไปต่างประเทศ ชุติมามองว่า คนในรุ่นของเขาผ่านอะไรในชีวิตมาเยอะมาก บางความทรงจำอาจเริ่มเลือนราง เขาจึงหวังหนังสือเล่มนี้จะช่วยทบทวนเรื่องราวที่เพื่อนของเขาอยากนึกถึง แต่อาจจะนึกไม่ออกแล้ว

ภาพ การจับกุมผู้เข้าร่วมการชุมนุม 6 ตุลา 2519 บริเวณสนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นอกจากนั้น เขาก็ยังหวังให้ผู้อ่านเป็นคนรุ่นอื่นๆ ที่สนใจประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว และจะยิ่งยินดีเป็นพิเศษ ถ้าใครสักคนหยิบหนังสือความหนากว่า 4 เซนติเมตรเล่มนี้ขึ้นมา แล้วบอกเขาว่า “อ่านสนุกจนวางไม่ลง” หรือ “อ่านรวดเดียวจบ” แม้ต้องใช้เวลาในการอ่านติดต่อกันหลายวันก็ตาม
สุดสายรุ้งมีอะไรอยู่?
ช่วงท้ายของหนังสือ ชิงชัยและคมแสงต่างแยกย้ายกันเข้าป่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ขณะที่พลอยถูกส่งกลับรัฐมอญ โดยพวกเขาให้เหตุผลว่า ‘สถานการณ์บีบบังคับ’ เนื่องจากมีการคุมขังและออกหมายจับนักศึกษาจำนวนมาก
ชุติมากล่าวว่า เขาจะเขียนภาคต่อของปฏิวัติบนสายรุ้ง โดยเป็นเรื่องราวชีวิตในป่าของเขาซึ่งอยู่ระหว่างการเขียนและเรียบเรียง คาดว่าจะตีพิมพ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยหนังสือเล่มนั้นจะมีชื่อว่าสุดสายรุ้ง
“สุดท้าย พอเราแพ้กลับมาเนี่ยก็เหมือนชื่อเล่มที่ 2 ที่ผมจะตั้งคือ ‘สุดสายรุ้ง’ หมายถึงผมไปจนสุดเส้นทางแล้ว สุดท้ายรุ้งก็โค้งลงดินแหละนะ แล้วเราก็พบว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น” ชุติมา กล่าว
ชุติมาเคยเป็นเยาวชนที่เฝ้ามองสายรุ้งด้วยความหวัง และเชื่อมั่นว่าสักวันจะได้ร่วมเดินทางไปกับมันเพื่อถึงจุดหมายในอุดมคติ แต่เมื่อเขาได้เดินไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางดังกล่าว กลับพบว่าที่ปลายทางไม่มีอะไรอยู่ ถึงกระนั้น เขาจะยังคงมีฝันและปรับรูปแบบการเคลื่อนไหวตามบริบทของสังคม