โครงกระดูกกว่า 150 โครง ที่เขตบางกอกน้อย เป็นของใคร มาจากไหน และทำไมถึงมีท่าทางแปลกๆ?
เมื่อเดือนเมษายน 2568 การขุดสำรวจพื้นที่ในเขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เพื่อทำรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม ได้นำไปสู่การค้นพบครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อมีการพบโครงกระดูกมนุษย์กว่า 150 โครง บริเวณใต้สะพานอรุณอัมรินทร์ หน้าวัดโบสถ์น้อย สภาพโครงกระดูกส่วนใหญ่นอนคว่ำหน้า พับขา และถูกจัดท่าทางไว้เหมือนถูกมัดมือไพล่หลัง ทำให้เกิดคำถามว่าโครงกระดูกเหล่านี้เป็นของใคร มาจากยุคใด และทำไมถึงถูกฝังในท่าทางเช่นนี้
พื้นที่บริเวณนั้นจึงเข้าไปอยู่ในความดูแลและสำรวจทางโบราณคดีร่วมกับกรมศิลปากร มีการศึกษาประกอบกันในหลากหลายศาสตร์ และจะต้องนำไปขึ้นทะเบียนโบราณสถานต่อไป
เพื่อไขทุกข้อสงสัยในเรื่องนี้ ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ได้มีการจัดงานเสวนา ‘ไขปริศนาความตายท้ายเมืองธนบุรี’ ณ ห้องประชุมใหญ่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ วาสุกรี ร่วมเสวนาโดย
- สุริยา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ กองโบราณคดี กรมศิลปากร
- อ. ดร. นฤพล หวังธงชัยเจริญ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
- รศ. ดร. ชาติชาย มุกสง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- ผศ. นพ. ดร. ณปกรณ์ ฉายแสง ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ดำเนินการเสวนาโดย ชัยสิทธิ์ ปะนันวงศ์ นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร และ อิสราวรรณ อยู่ป้อม นักโบราณคดีชำนาญ กองโบราณคดี กรมศิลปากร
‘ธนบุรี’ ที่มีความเป็นมามากกว่าแค่ฝั่งตรงข้ามพระนคร
เพื่อให้เข้าใจบริบทของพื้นที่มากยิ่งขึ้น และจะนำไปสู่การเข้าใจความสำคัญของการค้นพบครั้งนี้ ชัยสิทธิ์ ปะนันวงศ์ นักอักษรศาสตร์จากกรมศิลปากรได้อธิบายว่า เดิมทีคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าฝั่งธนบุรีคือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วพื้นที่นี้มีประวัติยาวนานกว่านั้นมาก
ชื่อธนบุรี ปรากฏครั้งแรกในกฎหมายตราสามดวง ย้อนไปถึงสมัย สมเด็จพระเจ้าสามพระยา (พระราชบิดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) ซึ่งมีตำแหน่งที่เรียกว่า นายพระขนอนธนบุรี คำว่า ขนอน ในที่นี้หมายถึงที่เก็บภาษี เพราะในอดีตเมืองธนบุรีเป็นเมืองเล็กๆ ที่เป็นจุดพักเรือสำคัญสำหรับชาวต่างชาติ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา จึงต้องมีการเก็บภาษีและตรวจคนเข้าออก รวมถึงสินค้าต่างๆ
ในสมัย สมเด็จพระไชยราชาธิราช เส้นทางเดิมของแม่น้ำเจ้าพระยาจะอ้อมมาก โดยไหลผ่านคลองบางกอกน้อย (บริเวณโรงพยาบาลศิริราชในปัจจุบัน) แล้ววนไปออกคลองบางกอกใหญ่ (ตรงวัดกัลยาฯ ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้เดินทางระหว่างอยุธยากับอ่าวไทย
สมเด็จพระไชยราชาฯ ทรงเห็นว่าการเดินทางอ้อมเกินไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดเชื่อมระหว่างคลองบางกอกน้อยกับคลองบางกอกใหญ่เข้าด้วยกัน
จากเดิมที่เป็นเพียงคลองเล็ก ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สายน้ำได้กัดเซาะจนคลองนี้กว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่เราเห็นในทุกวันนี้ ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมที่อ้อมนั้นก็กลายเป็นคลองบางกอกน้อยและคลองบางกอกใหญ่ไป
การขุดคลองในครั้งนั้น ทำให้พื้นที่เมืองธนบุรีในสมัยนั้นกลายเป็นเหมือนเกาะที่มีแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองบางกอกใหญ่โอบล้อมอยู่
จากเมืองเล็ก ๆ ที่เป็นจุดพักเรือ ธนบุรี ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นเมืองสำคัญ ในสมัย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้มีการตั้งหัวเมืองชั้นในกว่า 10 เมือง และหนึ่งในนั้นก็คือการยกฐานะเมืองขนอนธนบุรี ขึ้นเป็นเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร
ต่อมาในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการสร้าง ป้อมเมืองบางกอก ขึ้นทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ป้อมนี้ถูกรื้อทำลายในสมัยพระเพทราชา
จนกระทั่งในสมัย สมเด็จพระเจ้าตากสิน พระองค์ได้ทรงบูรณะป้อมฝั่งตะวันตกขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น ป้อมวิชัยประสิทธิ์
เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงได้ย้ายเมืองหลวงมาที่นี่ และสถาปนาเป็น กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ก่อนที่ในยุครัตนโกสินทร์จะมีการย้ายศูนย์กลางอำนาจมายังฝั่งพระนครในปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นการค้นพบ และหลักฐานที่ซ่อนอยู่
อิสราวรรณ อยู่ป้อม นักโบราณคดีจากกรมศิลปากร อธิบายว่า กรมศิลปากรให้ความสำคัญกับการศึกษาพื้นที่กรุงธนบุรีมาโดยตลอด อย่างเช่นบริเวณคลองบ้านขมิ้นที่พบหลักฐานสิ่งก่อสร้าง ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่าพื้นที่นี้อาจเคยเป็นคลองรอบเมืองธนบุรีมาก่อน
นอกจากนี้ การขุดค้นที่ ป้อมวังหลัง ในพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช ก็พบร่องรอยของเมืองธนบุรีที่ชัดเจน ดังนั้น หากมีการพัฒนาใด ๆ ในบริเวณนี้ กรมศิลปากรจึงต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด
สุริยา สุดสวาท นักโบราณคดีจากกรมศิลปากร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีศิริราช ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถาน (รวมถึงสถานีรถไฟธนบุรีและวัดอมรินทราราม หรือวัดโบสถ์น้อย) ตั้งแต่ปี 2544
การก่อสร้างครั้งนี้จึงมีการประสานงานกับกรมศิลปากรอย่างใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการศึกษาพื้นที่ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ในการขุดค้นพื้นที่ก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้า นักโบราณคดีได้ทำงานร่วมกับบริษัทก่อสร้างและบริษัทโบราณคดีอย่างเป็นระบบ ทำให้ได้ค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญหลายอย่าง เช่น
- โบราณวัตถุสมัยอยุธยา พบเครื่องปั้นดินเผาจากสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รวมถึงทางเดินลายก้างปลา
- ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ พบวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการสร้างทางรถไฟในอดีต ชิ้นส่วนอาคาร และที่สำคัญคือ กำแพงเมืองธนบุรี ที่เคยหายไป
- โครงกระดูกมนุษย์ พบโครงกระดูกในหลายลักษณะ ทั้งแบบพับขาและแบบเหยียดยาว ซึ่งถูกฝังร่วมกับเหรียญกษาปณ์ การค้นพบนี้จะช่วยให้นักโบราณคดีสามารถระบุช่วงเวลาที่โครงกระดูกเหล่านี้ถูกฝังและศึกษาข้อมูลในอดีตได้ละเอียดขึ้น
150 โครงกระดูก ขั้นตอนการฝัง กับท่าทางที่น่าสงสัย
ดร. นฤพล หวังธงชัยเจริญ นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายว่า การกำหนดอายุของสิ่งที่ค้นพบ (โครงกระดูก) ทำได้ 2 วิธีหลัก คือ การเทียบชั้นดิน โดยสิ่งที่อยู่ด้านล่างจะเก่ากว่าสิ่งที่อยู่ด้านบนเสมอ และการเทียบสิ่งของ โดยกำหนดอายุจากโบราณวัตถุที่พบร่วมกันในชั้นดินเดียวกัน
การขุดค้นที่สถานีรถไฟฟ้าศิริราชพบ โครงกระดูกมนุษย์ประมาณ 150 โครง ซึ่งถูกฝังในระดับความลึกและรูปแบบที่แตกต่างกัน
รูปแบบการฝังศพ โครงกระดูกส่วนใหญ่ถูกฝังแบบทั้งร่าง (การฝังครั้งที่ 1) ไม่ใช่การเผาแล้วเก็บกระดูก (การฝังครั้งที่ 2) เหมือนที่นิยมในสมัยอยุธยา
ซึ่งเมื่อพบโครงกระดูกแล้ว นักโบราณคดีจะมีขั้นตอนในการทำงานดังนี้:
- ขุดแต่งและทำความสะอาด เริ่มจากการขุดแต่งอย่างระมัดระวัง และทำความสะอาดโครงกระดูกเพื่อให้เห็นรูปร่างและท่าทางที่แท้จริง จากนั้นจะนำชิ้นส่วนมาจัดวางเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนใดขาดหายไปบ้าง และส่วนที่พบคือส่วนใดของร่างกาย
- บันทึกข้อมูล มีการบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งการวาดภาพลายเส้น และการใช้เทคโนโลยี 3D Scan เพื่อเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล
- การจัดเก็บ ชิ้นส่วนกระดูกจะถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปทำความสะอาดและวิเคราะห์ในเบื้องต้น จากนั้นจะส่งต่อให้ ภาควิชากายวิภาค โรงพยาบาลศิริราช เพื่อนำไปศึกษาต่ออย่างละเอียด
- การวิเคราะห์เบื้องต้น ช่วยให้นักโบราณคดีทราบข้อมูลสำคัญ เช่น เพศ อายุ หรือสาเหตุการเสียชีวิตบางอย่าง ก่อนจะส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ทั้งนี้นักโบราณคดีพบว่า การเก็บโครงกระดูกใน ท่านอนคว่ำ นั้นทำได้ยากกว่าการเก็บโครงกระดูกในท่านอนหงาย เพราะต้องใช้ความระมัดระวังในการขุดแต่งและยกขึ้นมาเป็นพิเศษ
นอกจากนั้นยังพบเหรียญกษาปณ์ที่มาช่วยกำหนดอายุ โดยแม้จะไม่พบโครงกระดูกที่อมเหรียญ แต่พบเหรียญที่ถูกฝังร่วมในชั้นดินเดียวกัน ซึ่งช่วยระบุยุคสมัยได้ ที่ค้นพบได้แก่ ‘เหรียญพดด้วง สมัยรัชกาลที่ 4’ พบในบริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ได้อยู่ในหลุมศพโดยตรง และ ‘เหรียญตรา จปร. สมัยรัชกาลที่ 5’ พบในบริเวณที่ฝังศพโดยตรง
โครงกระดูกส่วนใหญ่ถูกฝังในทิศเหนือของเมือง และพบหนาแน่นในบางจุด ซึ่งอาจเป็น พื้นที่ป่าช้าของคนในชุมชน ในยุคนั้น
จากการศึกษาโครงกระดูก ทำให้พบว่ามีพิธีกรรมการฝังศพที่หลากหลายและอาจบ่งบอกถึงความเชื่อบางอย่างในสังคมยุคนั้น โดยพบท่าทางการฝังศพ 4 รูปแบบหลัก คือ นอนคว่ำขาเหยียดยาว นอนคว่ำพับขา มือไขว้หลัง (ส่วนใหญ่มักหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก) นอนหงายขาเหยียดยาว และนอนตะแคง (พบเพียง 1 โครงเท่านั้น)
ซึ่งความลึกของการฝังศพก็สัมพันธ์กับท่าทางที่ใช้ด้วย โดยในระดับลึก (ประมาณ 2 เมตร) พบท่านอนคว่ำ ระดับกลาง (ประมาณ 1-1.8 เมตร) พบท่านอนคว่ำพับขาและท่านอนหงาย และระดับตื้น (35-60 เซนติเมตร) มักพบโครงในพื้นที่ที่มีแนวโบราณสถานอยู่ด้านล่าง นอกจากนี้ ยังมีการพบโครงกระดูกที่ชิ้นส่วนไม่ครบ จึงไม่สามารถระบุท่าทางได้ชัดเจน
ความลึกและท่าทางที่แตกต่างกันนี้ อาจสะท้อนว่า พิธีกรรมการฝังศพมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นอกจากนี้ ท่าคว่ำยังเป็นท่าที่ในบางวัฒนธรรมใช้กับผู้ที่เสียชีวิตอย่างผิดปกติ หรือคนนอกกลุ่ม
ข้อมูลจากงานวิชาการของเสฐียรโกเศศเรื่อง ประเพณีเนื่องในการตาย รวมถึงจากงานวิจัยอื่น ๆ ชี้ว่า ในช่วง รัชกาลที่ 5 มีความหลากหลายในการจัดการศพ โดยผู้มีฐานะจะนิยมเผาศพ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนคนทั่วไปที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอาจนำศพไปทิ้งน้ำหรือนำไปฝัง ทั้งนี้ ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา รัฐเริ่มส่งเสริมให้มีการฝังศพมากขึ้นแทนการทิ้งในน้ำ เพื่อเหตุผลด้านสาธารณสุข และเพื่อให้บ้านเมืองดูทันสมัยขึ้น
การค้นพบนี้จึงช่วยยืนยันข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และทำให้เห็นว่า พิธีกรรมการฝังศพที่พบนอกจากจะเป็นการฝังธรรมดาแล้ว ยังมีการจัดระเบียบร่างกาย เช่น ใช้ผ้าห่อศพ หรือตรึงศพไว้กับพื้นดิน เพื่อควบคุมท่าทางโดยไม่ต้องใช้โลงศพ ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการทำพิธีด้วย
การตายด้วยโรคระบาด
รศ.ดร.ชาติชาย มุกสง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ว่า สังคมไทยในอดีตเคยต้องรับมือกับ ‘โรคห่า’ หรือโรคระบาดร้ายแรง 3 ชนิด คือ โรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) กาฬโรค และอหิวาตกโรค ซึ่งในยุคที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก การฝังศพผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดจึงถือเป็นเรื่องปกติและจำเป็นที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน
ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของโรคและการจัดการโรคระบาดในสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ ซึ่งสะท้อนผ่านการจัดการศพที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย
ในสมัยโบราณ ความเชื่อดั้งเดิมมองว่าโรคเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ผีหรือวิญญาณร้าย การรักษาจึงเน้นไปที่พิธีกรรมทางศาสนาและไสยศาสตร์
สมัยรับอิทธิพลตะวันตก (ปลายพุทธศตวรรษที่ 24) สังคมเริ่มรับแนวคิดจากตะวันตกที่มองว่าโรคเกิดจากอายพิศม์ (สิ่งแวดล้อมที่ไม่สะอาด) จึงเน้นเรื่องสุขาภิบาลมากขึ้น การจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดจึงต้องคำนึงถึงความสะอาดและสุขอนามัยเป็นสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดต่อไป
สมัยเชื่อเรื่องเชื้อโรค (กลางพุทธศตวรรษที่ 25) เมื่อความรู้ทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น สังคมเริ่มเข้าใจว่าโรคเกิดจากเชื้อโรค ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า การจัดการจึงเปลี่ยนไปเป็นการสร้างระบบสาธารณสุขที่ดี เน้นการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดผ่านการฉีดวัคซีน
แนวคิดเรื่องความศิวิไลซ์ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยชนชั้นนำมองว่าไม่ควรมีซากศพในที่สาธารณะ และต้องการให้พระนครสะอาดปราศจากกลิ่นเหม็น ถึงแม้ว่าคนทั่วไปในยุคนั้นจะมองว่าความตายเป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้น่ากลัวหรือต้องปิดบังก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อเหล่านี้ จึงส่งผลให้เกิดการควบคุมการจัดการศพที่ชัดเจนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่น ในช่วงปี 2441-2444 มีการออกคำสั่งห้ามนำศพผู้ป่วยอหิวาตกโรคไปฝังในวัดพลับพลาไชย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
อย่างในปี 2450 มีเหตุการณ์ที่ทางการลงโทษนายชมและหมอแปลกที่นำศพไปฝังโดยไม่แจ้งทางการ ถือเป็นการเน้นย้ำว่าการจัดการศพต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้
ก่อนหน้านั้น สภาพสังคมก่อนปี พ.ศ. 2440 เต็มไปด้วยความโกลาหลในยามเกิดโรคระบาด มีการสันนิษฐานว่าศพผู้เสียชีวิตจำนวนมากถูกเผาไม่ทันตามธรรมเนียม ทำให้ต้องนำไปฝังรวมกันอย่างเร่งรีบในพื้นที่วัด ซึ่งอาจเป็นที่มาของพื้นที่ป่าช้าที่มีความหนาแน่นสูงอย่างที่ค้นพบ
ดังนั้น โครงกระดูกที่ถูกพบในลักษณะถูกฝังอย่างเร่งรีบและซ้อนทับกัน จึงอาจเป็นหลักฐานที่สะท้อนถึงการจัดการศพในช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวายจากโรคระบาด ก่อนที่สังคมไทยจะมีการกำหนดมาตรการและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการจัดการศพและควบคุมโรคระบาดในเวลาต่อมา
วิเคราะห์โครงกระดูกในมิตินิติมานุษยวิทยา
ผศ.นพ.ดร.ณปกรณ์ ฉายแสง ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้อธิบายถึงการทำงานร่วมกันระหว่างนักโบราณคดีและทีมแพทย์ในการวิเคราะห์โครงกระดูกที่ค้นพบ โดยข้อมูลนี้มาจากการวิเคราะห์โครงกระดูกจำนวน 20 ชุด และยังมีข้อมูลชุดอื่นๆ อีกที่ยังอยู่ในระหว่างการวิเคราห์
หลังได้รับชุดโครงกระดูกมาแล้ว ขั้นแรกคือการยืนยันว่าสิ่งที่พบเป็นกระดูกจริงหรือไม่ จากนั้นจึงจะแยกแยะว่าเป็นกระดูกของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น และเมื่อยืนยันว่าเป็นกระดูกมนุษย์แล้ว จะมีการทำความสะอาดและประกอบพิธีทางศาสนา แล้วจึงนำกระดูกเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อระบุตัวตนและข้อมูลทางชีวภาพ
การวิเคราะห์ชุดแรก 20 ชุด ทำให้สามารถประเมินข้อมูลสำคัญได้ แต่เนื่องจากกระดูกส่วนใหญ่มีความเสียหาย ทำให้การระบุข้อมูลเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น ดังนี้
- เพศ ตรวจสอบจากกระดูกเชิงกรานและกะโหลกศีรษะ พบว่าใน 20 ชุดที่วิเคราะห์แล้ว เป็นเพศหญิง 8 ชุด และเพศชาย 10 ชุด ส่วนที่เหลือไม่สามารถระบุเพศได้
- อายุ ประเมินจากหลายส่วน เช่น กระดูกกรามและเชิงกราน พบว่ามีช่วงอายุที่หลากหลาย ตั้งแต่ 17-49 ปี (11 โครง), อายุมากกว่า 50 ปี (4 โครง), และอายุน้อยกว่า 17 ปี (4 โครง)
- เชื้อชาติ ประเมินจากลักษณะกะโหลกศีรษะและฟัน ทำให้พอจะระบุได้ว่าเป็นคนเอเชีย (ใช้เกณฑ์ร่วมสมัย ที่จะแบ่งเป็นเอเชียนไวท เอเชียนแบล็ก และยูโรเปียน) แต่ไม่สามารถระบุได้ถึงขั้นว่าเป็นคนประเทศอะไร
- ความสูง อยู่ในช่วง 145-170 เซนติเมตร
- ร่องรอยบนกระดูก ไม่พบร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างการเสียชีวิต แต่ความเสียหายที่พบเกิดขึ้นหลังการตาย ซึ่งอาจเกิดจากกระบวนการขุดค้น
และสำหรับการวิเคราะห์สาเหตุและรูปแบบการเสียชีวิต การพบว่าศพถูกมัดมือไขว้หลังและถูกฝังซ้อนทับกันนั้น ทางผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าไม่ได้เป็นการทำเพื่อทรมาน แต่เกิดจาก ‘การรีบฝังศพ’ เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดหรืออาจเกิดการเสียชีวิตพร้อมกันจำนวนมากในช่วงที่มีโรคระบาด และไม่น่าจะเป็นการจัดท่าทางเพื่อละเมิดความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด
ด้านรอยโรค พบรอยคล้ายลายไม้บนผิวกระดูกใน 7 จาก 29 โครงที่ตรวจสอบ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะปกติของกระดูกมนุษย์ที่ควรจะมีผิวเรียบมัน การมีรอยจึงบ่งชี้ว่าเจ้าของกระดูกน่าจะเคยมีอาการอักเสบเรื้อรังจากโรคเกี่ยวกับกระดูก เช่น วัณโรค หรือ ซิฟิลิส ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเพียงพอ
อ้างอิงจาก