เรารู้สึกว่าเราเป็นตัวเราจากอะไร?
ไลฟ์สไตล์หรือเปล่านะ หรือความชอบในสิ่งต่างๆ ที่เราได้เลือกเองในชีวิต ก็น่าจะบ่งบอกได้ว่า คนที่ชอบกิน แต่งตัว ดูหนัง ฟังเพลงแบบนี้ รวมกันแล้วเป็นฉันไงล่ะ แต่เอ เรื่องของความชอบ รสนิยม ย่อมมีวนเวียนมาตรงกันบ้าง ถ้ามีคนชอบอะไรเหมือนเราขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าความเป็นเรามันไม่ได้พิเศษแค่เราคนเดียวแล้วน่ะสิ
หรือจะต้องเป็นอะไรที่พิเศษมากขึ้นกว่านั้น ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่จำความได้ ยามอกหักให้กับ puppy love ตอนมัธยม ความเครียดถาโถมในช่วงทำงานที่แรก ความตื่นเต้นที่ได้ไปเที่ยวประเทศในฝัน แต่งแต้มให้แต่ละคนต่างมีเรื่องราวพิเศษเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเราความจำเสื่อมขึ้นมา จนจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว นั่นจะทำให้ตัวตนของเราหายไปด้วยหรือเปล่า
แม้จะใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองมาตลอด แต่เรากลับไม่แน่ใจนักว่าความเป็นเรานั้นอยู่ตรงไหน อยู่ในร่างกายที่เคลื่อนไหว อยู่ในความคิดวุ่นวายที่ผุดขึ้นในหัว หรืออยู่ในความทรงจำ ที่บางเรื่องยังจำได้ บางเรื่องก็เลือนหายไป
คำถามแสนเรียบง่ายนี้ พาเราเดินทางสู่การตั้งคำถามที่ลึกซึ้งและไม่มีคำตอบตายตัว มาพูดคุยในมุมมองปรัชญา กับ อาจารย์ดลวัฒน์ บัวประดิษฐ์ จากคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ว่าตัวตนของเราอยู่ที่ไหน ในจิต ร่างกาย หรือความทรงจำ?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า ‘ตัวเรา’ ที่กำลังพูดถึงต่อไปนี้ หมายถึงอัตลักษณ์บุคคล (Personal Identity) ตัวความสามารถที่สำนึกหนึ่งจะระบุบ่งชี้ และยืนยันตัวเองว่ายังคงเป็นตัวเองอยู่ ในเวลาที่ต่างกัน หรือในสถานการณ์ที่ต่างกันไป ก็ยังคงยืนยันความเป็นตัวเองได้
เรารู้แล้วว่าความเป็นตัวเราประกอบจากหลายส่วน หากลองถามใครสักคนว่า ตัวตนของคุณคืออะไร? แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีคำตอบต่างกันไปตามอัตลักษณ์ของคนนั้น นิยามของมันจึงไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ แต่คำถามที่มักจะตามมา เป็นคำถามที่เราได้พูดถึงในข้างต้นว่า ความเป็นตัวเราอยู่ที่ตรงไหนต่างหาก
หากจะหยิบยกประเด็นนี้มาพูดคุย แน่นอนว่าแนวคิดของ จอห์น ล็อก (John Locke) นักปรัชญาชาวอังกฤษ จะกลายมาเป็นคำตอบที่คอยปูพื้นฐาน ก่อนต่อยอดไปสู่แนวคิดอื่นที่มาจากแนวคิดของเขาเช่นกัน หากอธิบายอย่างง่าย แนวคิดของล็อกเชื่อว่าตัวตนของคนเรานั้น จะอยู่ที่ความสามารถที่จะสะท้อนความคิด และมีสำนึกตระหนักรู้ในตัวเอง (consciousness) ในฐานะที่เป็นตัวตนสิ่งเดียวกับที่เป็นอยู่ในอดีต และก็จะเป็นสิ่งเดียวกันสิ่งเดิมนี้ต่อไปในอนาคต ด้วยการมีประสบการณ์ด้วยตัวเราเอง สั่งสมมาเรื่อยๆ เป็นความทรงจำ
อาจารย์ดลวัฒน์อธิบายแนวคิดของล็อกไว้ว่า “โดยทั่วไปในทัศนะของล็อก ความทรงจำมันเชื่อมโยงโดยตรงกับตัวประสบการณ์ เพราะในทัศนะแบบประสบการณ์นิยม ประสบการณ์คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวฉันเอง คนอื่นไม่สามารถมีได้ มีฉันคนเดียวเท่านั้นที่มีได้ ดังนั้น บรรทัดฐานที่ล็อกให้ไว้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องความสามารถของสำนึก ที่มันจะย้อนตัวเองกลับไปในสายธารของความทรงจำ ความต่อเนื่องของความทรงจำของตัวมันเองจะตระหนักรู้ตัวเอง”
“อัตลักษณ์บุคคลที่รับรู้ความเป็นเจ้าของความทรงจำ ในฐานะที่มันเป็นประสบการณ์ที่ฉันเองเป็นคนมี จริงๆ แล้วเป็นวิธีการคิดคล้ายๆ กับเรื่องของทรัพย์สิน (property) ในข้อเสนอทางสังคมการเมืองของล็อก เพราะทรัพย์สินสำหรับล็อกคืออะไรก็ตามที่ถือว่าเป็นของของฉัน ต่อเมื่อฉันใช้แรงงานของฉันเอง แรงกาย แรงใจ ทำบางอย่างกับทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าของ แล้วก็ทำให้มันกลายมาเป็นของของฉัน ในลักษณะเดียวกันก็คือว่า ตัวตนของเราคือความสามารถจะยืนยันตัวเองผ่านการมีประสบการณ์ที่เป็นของของตนเอง แล้วประสบการณ์นี้เราก็พบในความทรงจำต่างๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันใช้ความสามารถในการรับรู้ของฉัน ไปเอามาให้เป็นส่วนหนึ่งของตัวฉันเอง”
ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับตัวตนของเขา ล็อกได้จุดประกายเรื่องอัตลักษณ์บุคคลให้กลายมาเป็นจุดสนใจของปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ ด้วยข้อเสนอที่ว่า ตัวการตระหนักรู้มันสัมพันธ์กับตัวความทรงจำ จนเป็นการวางรากฐานในการคิดเรื่องนี้ นั่นเลยทำให้มีการคิดต่อยอดไปจากแนวคิดของล็อก มีทั้งฝั่งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยอาจารย์ดลวัฒน์ได้แบ่งแนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์บุคคลไว้ 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่เชื่อว่าตัวเราอยู่ที่จิต
กลุ่มนี้มองว่า ร่างกายกับจิตใจเนี่ยเป็นสิ่งที่แยกขาดออกจากกัน ความคิด ประสบการณ์ ความทรงจำ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในหัวของเรา นั่นแหละความเป็นเราอยู่ในความคิดตรงนั้น หากจะเล่าให้เห็นภาพมากขึ้น ให้ลองนึกถึงหนังไซไฟที่ย้ายจิตของเราไปอยู่ที่ร่างกายอื่น มิติอื่น หรือเก็บจิตของเราเป็นไฟล์อัปโหลดขึ้นไปบนเซิร์ฟเวอร์
กลุ่มที่เชื่อว่าตัวเราอยู่ที่ร่างกาย
แม้จะดูเหมือนอยู่ตรงข้ามกัน แต่กลุ่มนี้เชื่อในแบบเดียวกับจิตเหมือนกัน ว่าตัวตนอยู่ที่ความคิด ความสำนึกรู้ในตัวเรา แต่ไม่ได้มองว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทางความเชื่อมโยงทางจิต แต่มองว่าความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เป็นการทำงานของร่างกายต่างหาก ตัวร่างกายมันทำงานไม่ใช่แค่ในฐานะเป็นภาชนะที่บรรจุจิตไว้เฉยๆ แต่ตัวร่างกายเองนี่แหละที่ทำงานร่วมกันจนเกิดเป็นสิ่งที่เราเข้าใจว่ามันคือจิต
กลุ่มที่เชื่อว่าไม่มีตัวตนอยู่เลย
กรรมการอึ้ง จะเถียงกันไปทำไม เพราะกลุ่มนี้มองว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนอยู่แต่แรกเลยน่ะสิ โดยมีนักปรัชญาอย่าง เดวิด ฮูม (David Hume) เป็นหัวเรือใหญ่ที่เสนอแนวคิดนี้ โดยปัดตกแนวคิดแบบประสบการณ์นิยมของล็อก หรืออาจจะพิจารณาได้ว่า ฮูมผลักแนวคิดแบบประสบการณ์นิยมไปจนสุดโต่ง ซึ่งเขามองว่าถ้าเราพิจารณาจากตัวเนื้อหาของประสบการณ์จริงๆ เราไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับตัวตนจริงๆ เสียหน่อย แต่สิ่งที่เรารับรู้มาน่ะเป็นกลุ่มก้อนประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกัน แล้วชุดเหตุการณ์เหล่านั้นก็มอบภาพประทับของความเป็นตัวตนขึ้นมา
แล้วคุณล่ะ มองว่าตัวตนของเราอยู่ที่ไหน? ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด แต่ละแนวคิดต่างมีช่องโหว่บางอย่างที่นำไปสู่ปัญหาได้ทั้งนั้น หากความทรงจำเราหายไปจากอุบัติเหตุ เราลืมไปแล้วว่าเราเคยเป็นใคร มันจะทำให้ตัวตนเราหายไปด้วยไหม เราจะใช้ชีวิตหลังจากนั้นด้วยตัวตนใหม่หรือเปล่า ถ้าหากเราถูกโคลนนิ่งขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ใครกันแน่จะเป็นเราที่แท้จริง หรือมีเราที่แท้จริงสองคนได้หรือเปล่านะ
ในระหว่างที่หลายคนอาจจะกำลังพิจารณาว่าจะซื้อไอเดียกลุ่มไหนดี อาจารย์ดลวัฒน์ได้พูดถึงอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจขึ้นมาว่า การที่เรากำลังขบคิดว่าตัวตนของเรานั้นอยู่ที่ไหนนั้น ในแง่หนึ่งคือการตีกรอบให้ตัวตนมีขอบเขตชัดเจน ชี้ชัดได้ว่าอยู่จุดไหน และยึดโยงอยู่กับสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเป็นตัวตนของเรานั้นอาจจะเป็นสิ่งที่คลุมเคลือด้วยตัวมันเอง ไม่ได้มีความชัดเจน หรือแน่นอนอยู่เลย
อาจารย์ดลวัฒน์เล่าเสริมในข้อเสนอนี้ว่า “ส่วนสำคัญของตัวตนอาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าประสบการณ์อะไรบ้างที่มันเอาเข้ามาใส่แล้วก็ประกอบเป็นฉัน แต่อยู่ที่ความสามารถของฉันเนี่ยที่จะมีประสบการณ์ในลักษณะต่างๆ และการมีประสบการณ์ตรงนี้เนี่ย อาจเป็นประสบการณ์ของการเป็นเรือนร่าง (embodiment) ในความหมายนี้มันก็คือ จิตกับกายไม่เคยแยกขาดจากกันได้ แต่มันอยู่ร่วมกันในฐานะโครงสร้างเปิดที่ไม่ได้ปิดตัวเองจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง ประสบการณ์ที่เรามีบางทีเราคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ของผัสสะ หรือว่าของความคิดแยกขาดจากกันจริงๆ ประสบการณ์ของของจิตมันไม่เคยขาดซึ่งร่างกาย และประสบการณ์ของร่างกายมันก็ไม่เคยขาดซึ่งจิตได้อย่างสมบูรณ์
กลับมาที่คำถามเรื่องตัวตน สิ่งที่สำคัญในการก่อประกอบความเป็นตัวตนของฉัน อาจจะไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่ความสามารถที่จะกำหนดตัวเอง แต่อาจจะต้องหมายรวมถึงความสามารถที่จะเปิดตัวเองต่อความเป็นจริงอื่นด้วย”
ความซับซ้อนของความคิดมนุษย์ พาเราไปสู่คำถามที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวเรา และสร้างความซับซ้อนยิ่งขึ้นไป ด้วยการวนกลับมาพิจารณาถึงความคิดของเราเอง
ความคิดมนุษย์จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือในการเข้าใจโลก แต่ยังเป็นกระจกที่สะท้อนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา และคำถามที่เรากำลังเฝ้าใคร่ครวญอยู่นี้ อาจไม่ใช่คำถามที่ต้องมีคำตอบตายตัว แต่อาจเป็นข้อพิสูจน์ว่าความคิดของมนุษย์นั้นลึกซึ้งเพียงไหน