สายตาเราเฝ้ามองคนตรงหน้า ละเลียดอยู่กับรูปลักษณ์ที่เราหลงใหล จดจ่อสมาธิไปที่เรื่องเล่าไม่รู้จบของเขา สิ่งเหล่านี้ประกอบกันเป็นใครคนนั้นที่เรามอบความรักให้ไป ภาพคุ้นตานี้อาจทำให้เราเข้าใจว่า นี่ล่ะ คำตอบของคำถามที่ว่า เรารักเขาที่ตรงไหน คงจะเป็นตัวตนของเขาอย่างที่เราเห็นอยู่นี่แหละ
แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวตนเขาที่เรารับรู้มานั้น เป็นตัวตนของเขาจริงๆ หรือเป็นภาพที่เราเลือกจะเห็น มีฟิลเตอร์สีหวานทาบทับ จนสิ่งที่สะท้อนกลับมาอาจเป็นความปรารถนา ความฝัน หรือความคาดหวัง ของเราเพียงผู้เดียวก็ได้
มาสำรวจมุมมองความรักในเรื่องนี้ไปกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คงกฤช ไตรยวงค์ อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

รักตัวตนหรือรักภาพที่เห็น
ก่อนจะเริ่มพูดคุยลึกลงไป เรามาทำความเข้าใจขอบเขตของสิ่งที่กำลังพูดถึงให้ตรงกัน ไม่ให้สับสนในตัวฉัน ตัวเขา ภาพเรา หรือภาพใคร โดยแกะรอยจากคำถามหลักที่เราเริ่มไว้ “เรารักที่ตัวตนของเขาหรือรักภาพในหัวที่เราสร้างขึ้น?”
เริ่มจากคำว่ารักที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ หมายถึงความรักที่มีความปรารถนาทางเพศ หรือความปรารถนาทางกาย เรียกว่า ‘อีรอส (Eros)’ เป็นความรู้สึกที่เกิดในรูปแบบความสัมพันธ์แบบหนึ่ง
ตัวตนที่แท้จริงของคนที่เรารัก ในที่นี้พูดถึงสิ่งที่เขาหรือเธอเป็น คุณสมบัติที่มี อย่าง ความสวยงามของเรือนกาย สติปัญญา รสนิยม นิสัยใจคอ และอาจรวมถึงสถานะทางสังคม สิ่งเหล่านี้เรียกว่า บุคลิกลักษณะ
ที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับตัวฉัน ตัวเธอ อยู่แบบนี้ เพราะมันจะนำไปสู่ไอเดียหลักของคำถาม เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเห็น คือตัวตนอย่างที่เขาเป็นจริงๆ ในเมื่อทั้งหมดทั้งมวลที่เรารับรู้นั้น มันมาจากสิ่งที่เขาเปิดเผยให้เราเห็นผ่านบุคลิกลักษณะต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นตัวเขา เราเลยอาจจะต้องแยกความแตกต่างด้วยว่า ‘การเป็น’ ตัวตนที่แท้จริงกับ ‘การมี’ บุคลิกลักษณะ เป็นคนละสิ่งกันแต่ก็สัมพันธ์กัน

อาจารย์ให้ลองคิดตามทีละขั้น ผ่านสถานการณ์สมมติ เมื่อมีใครสักคนพยายามทำให้เราประทับใจด้วยการนำเสนอแต่ด้านที่เราน่าจะชอบ เช่น การเอาใจใส่ รสนิยมที่คล้ายกัน สถานะทางสังคมที่โดดเด่น รูปร่างหน้าตาที่ดึงดูด สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นนั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเค้าหรือเปล่า
เหมือนกับตัวเอกในซีรีส์เรื่อง YOU ที่ตามสืบเสาะจนรู้ความเป็นไปของผู้หญิงทุกอย่าง แล้วเนรมิตตัวตนให้ตรงกับความชอบของเธอที่สุด หรือจะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นจริงในสังคม อย่าง Romance Scam เข้ามาหลอกให้รัก กว่าเราจะรู้ว่าว่าเป็นตัวตนจริงๆ ของเค้าหรือเปล่าก็ต้องอาศัย เวลาที่จะคลี่คลายหรือเปิดเผยตัวตนของอีกฝ่ายออกมา
ส่วนคำว่าภาพที่เราสร้างขึ้นในใจ เป็นภาพของความเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงจากมุมมองของเรา หรือภาพของความคาดหวังอยากให้อีกฝ่ายเป็น อาจารย์เริ่มอธิบายในความคาดหวังนี้ไว้ว่า
“บางคนเรียกว่าธาตุแท้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ‘คนอื่น’ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา การที่เราจะไปจับเค้าไปใส่กล่องความคิดของเราแล้วจัดจำแนกว่า เป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ จริง ๆ แล้วทำได้หรือเปล่า แล้วถ้าเราจับเค้ามาอยู่ในกรอบของความคิดเรา เราเรียกว่าอะไร ความรุนแรงใช่ไหม?

ในแง่หนึ่ง ความคาดหวังที่เรามี ภาพที่เราอยากให้เขาเป็น อยากให้เป็นคนอ่อนหวาน เป็นคนทำงานเก่ง เป็นคนสวย หน้าตาดี เป็นคนมีฐานะ สิ่งเรานี้มันเกิดจากอะไร ส่วนสำคัญก็น่าจะมาจากกำพืดของเราเอง พื้นเพของเราเองมีส่วนกำหนดความคาดหวังนี้
มองในแง่ที่ว่ามาข้างต้น เรารักอะไรล่ะ เรารักตัวตนของเขาอย่างที่แสดงให้เราเห็นนั่นแหละ แล้วมันมาสอดคล้องกับภาพที่มีอยู่ในใจเรา ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจหรือความคาดหวังของเรา แต่มันจะ ‘แท้’ แค่ไหน ถ้าความ ‘แท้’ ที่ว่านี้คือความคงทนผ่านกาลเวลา ก็มีแต่ความสัมพันธ์ที่เรียกว่าความรักที่คลี่คลายผ่านเรื่องราวความรักนี่แหละ”
ทั้งสิ่งที่เขาสร้าง ความคาดหวังที่เรามี ต่างผสมปนเปกันวุ่นอยู่ในความสัมพันธ์ แล้วมันเป็นไปได้ไหมนะ ที่เราจะก้าวข้ามผ่านความคาดหวังต่างๆ นั้น แล้วขยับมารักกันที่ตัวตนที่แท้ของใครนั้น อาจารย์ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในการพูดคุยข้างต้น และตอบในส่วนนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
“ตัวตนที่แท้จริงไม่ได้เป็นแก่นสารที่หยุดนิ่งตายตัว มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เพราะคนเราไม่ใช่สิ่งของที่เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แต่คนเรามีความเปลี่ยนแปลงคือความเสื่อมสลาย

แน่นอนว่าเราไม่มีทางเข้าใจคนอื่นอย่างที่เค้าเป็นจริงๆ หรอก นั่นคือปริศนาของมนุษยชาติเลยแหละ แม้แต่จิตของเรายังยากจะที่หยั่งถึงได้หมด แต่เพราะมันมีความเร้นลับ ส่วนที่เราไม่มีวันเข้าใจได้จริงๆ นี่แหละที่ทำให้ความรักเป็นไปได้ เราจะเข้าใจอีกฝ่ายก็จากภาพในใจเรา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เค้าเปิดเผยให้เรารู้ ความปรารถนาแบบอีโรติกที่แผ่ซ่านก็เพราะความมืดดำที่เร้าความรู้สึกของเรา แม้แต่เวลาร่วมรักกันเราก็ยังอยู่ในระดับของผิวสัมผัสก่อนที่ไปสู่ห้วงลึก ถ้าหากมันเปิดเปลือยไปทั้งหมด มันก็เป็นแค่การเปลื้องเปลือย (pornography) ที่เร้าราคะในเวลาสั้นๆ เท่านั้น เสพสมเสร็จแล้วก็แล้วกัน
ดังนั้น เวลาเราตกหลุมรักใครสักคน มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น การบอกรักก็คือการบอกว่าเราสองคนเป็นคนรัก แปลว่าคนอื่นห้ามเข้ามามีความสัมพันธ์ในรูปแบบเดียวกันนี้ และความรักมันก็มีความเสี่ยง มีเรื่องที่ต้องเผชิญไปด้วยกัน ความจริงที่ว่าเรารักกันไหม มันจึงต้องอาศัยเวลา ผ่านเรื่องราวไปด้วยกัน เหมือนปลูกต้นไม้ ต้องอาศัยการช่วยกันดูแลรักษา”

คำถามต่อไปตามมารวดเร็ว ถ้าในท้ายที่สุด เราไม่อาจเข้าถึงตัวตนจริงของอีกฝ่ายได้เลย ความรักจะยังมีคุณค่าหรือความหมายอยู่ไหม?
“ไม่ได้แปลว่าจะเข้าถึงตัวตนจริงๆ ไม่ได้เลย แต่มันเข้าถึงได้แบบที่เค้าอยากให้เราเข้าถึง อย่างที่เค้าเปิดเผยและคลี่คลายผ่านเรื่องราวชีวิต แม้จะคงระยะห่างและความเป็นอื่นอยู่ก็ตาม ถึงที่สุดแล้วเราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นอย่างที่เค้าเป็นเป็นยังไง
แต่นั่นเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนเป็นไปได้ รวมถึงทำให้ความรักมีคุณค่าและความหมาย ถ้าหากเราเข้าใจอีกคนหนึ่งท้ังหมด ราวกับมองผ่านกระจกใส มันก็ไม่มีความลับ ไม่มีปริศนา ไม่มีอะไรให้เรียนรู้ มิหนำซ้ำอีกคนก็จะกลายเป็นวัตถุที่ถูกจับจ้อง และไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้ นั่นหมายถึงไม่ได้เติบโตหรือเรียนรู้ไปพร้อมกัน เหมือนต้นไม้หยั่งรากลงดิน และงอกงามออกดอกผล”
นั่นหมายความว่าคำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัวเสียขนาดนั้นหรอก หากจะรักภาพที่เห็นมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดสักเท่าไหร่ เราเองก็มีภาพที่แสดงออกให้เขาเห็นไม่ต่างกัน ยิ่งเมื่อความรักเองต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ทั้งเราและเขา กว่าปอกเปลือกไปถึงชั้นในที่อยากเห็น เมื่อนั้นแล้วเราค่อยตัดสินใจก็ไม่นับว่าผิดขั้นตอน
แล้วถ้าความรักที่มันเกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องของตัวตน แต่เป็นประสบการณ์ที่เราได้รับล่ะ เป็นไปได้ไหมว่าเราไม่ได้ลุ่มหลงอยู่กับความเป็นเขาเสียขนาดนั้นหรอก เมื่อเราไม่เคยรับรู้ได้เลยว่าตัวตนนั้นจริงแท้แน่นอนแค่ไหน เราอาจจะแค่รักในประสบการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเป็นคนรักกับเขาหรือเปล่า
“การที่เรารักใครสักคน คือการรักแม้แต่สิ่งที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ในตัวเค้า
เช่น ชอบตดใส่ผ้าห่ม หรือความรู้สึกนึกคิดที่ซับซ้อน
บางทีก็คาดเดาไม่ได้ ไม่ได้อยู่อำนาจที่เราจะไปกะเกณฑ์ด้วย”
“พูดภาษาปรัชญาคือเค้าเป็นอื่นโดยสิ้นเชิงจากเรา มันจึงมีแรงเสียดทานในความสัมพันธ์ บางทีก็มีความเจ็บปวดจากความไม่เข้าใจ เราจึงต้องยอมรับทั้งประสบการณ์ที่อ่อนหวานและเจ็บปวดจากประสบการณ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่เรียกว่าความรัก เหมือนอย่างที่กวีชาวเลบานอนอย่าง คาลิล ยิบราน (Khalil Gibran) บอกว่า ใครก็ตามที่ปรารถนาที่ความหอมหวานของความรัก ก็จะต้องทุกข์ตรมกับหยาดน้ำตาไปแสนนาน อะไรทำนองนั้น
ตัวอย่างจากหนังน่าจะทำให้เข้าใจได้ชัดขึ้น หนังเรื่อง Melancholia (2011) ของผู้กำกับ ลาร์ส ฟอน เทรียร์ (Lars von Trier) เป็นเรื่องราวของสองพี่น้อง น้องสาวจะแต่งงาน พี่สาวกับพี่เขยก็พยายามช่วยให้สมหวังแบบที่อยากได้ แม้แต่ว่าที่สามีก็แสนดี ไปซื้อสวนส้มแล้วเอารูปมาให้นางเอกดู วาดภาพฝันในอนาคตว่าจะทำสวนมีความสุขด้วยกัน แต่นางเอกก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก วางรูปไว้แล้วไปทำอย่างอื่น ที่สาหัสกว่าคือดันไปมีเซ็กซ์กับเด็กหนุ่มที่เจ้านายจ้างมาให้เป็นผู้ช่วย อันนี้คือการหมกมุ่นกับตัวเอง ความต้องการของตัวเอง สนใจแต่เพียงความพึงพอใจของตัวเอง ไม่แคร์คนอื่นเลย สุดท้ายทุกคนหนีหมด นางต้องอยู่คนเดียว พอป่วยถึงหาพี่สาวแล้วอยู่กับพี่สาว เคราะห์กรรมดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลก แต่แปลกที่นางกลับมาใส่ใจกับคนอื่นมากขึ้น ควรไปดูกันนะครับเรื่องนี้”

เมื่อต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง มีภาพที่แสดงออกให้ผู้อื่นเห็น มีตัวตนซ่อนเร้นคอยเปิดเผยยามไม่มีสายตาใครจับจ้อง พอมาประกอบกันเป็นคู่รัก เรากลับอยากเห็นเขาเสียทั้งหมด ทั้งที่เราเองก็มีส่วนที่น่าอาย ไม่งดงาม ปิดบังไว้หลังม่านเช่นกัน เช่นนั้นแล้ว เรามีพื้นที่ให้คนที่เรารักเปลี่ยนไปจากภาพที่เราคิดไว้มากน้อยแค่ไหน?
“คำถามนี้ดีมาก แต่ตอบยากมาก เพราะความสัมพันธ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย การวางบรรทัดฐานว่าควรเว้นที่ว่างให้ตัวตนของคนรักได้งอกงามเติบโต หรือไม่เป็นไปตามที่เราคิดมากแค่ไหน มันจะทำให้ความรักที่มีลักษณะเฉพาะกลายเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป
แต่ถ้าจะตอบกว้างๆ ก็คงตอบเหมมือนเพลงของวง พอส ชื่อเพลง ที่ว่าง มันควรมีที่ว่างให้เค้าเติบโต ได้กลายเป็นสิ่งที่เค้าอยากเป็น ซึ่งมันไม่มีความแน่นอน ความคงเส้นคงวาของตัวตนอาจทำให้เราจำได้หมายรู้หรือจำได้ว่าเค้าเป็นคนแบบนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะยังเป็นเหมือนเดิมตลอดไป ถ้าเราต้องทิ้งเป้าหมายในชีวิตหรือที่เรียกกันว่าความฝัน เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้กับอีกคน พอถึงวันหนึ่ง ความรักไม่ได้เป็นอย่างหวังก็อาจหันมาโทษอีกฝ่าย หรือไม่ก็นึกภาพอนาคตไม่ออกว่าจะใช้ชีวิตยังไง นำไปสู่การฆ่าตัวตาย หรือฆ่าคนรักของเรา ซึ่งมันย้อนแย้งสิ้นดี เรารักเค้าแต่อยากฆ่าเค้า ทำให้เค้าไม่มีตัวตนอีกต่อไป
สมัยวัยรุ่น เพลง 2 Become 1 ของวง Spice Girls กรอกหูผมบ่อยมาก แต่ความรักมันต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวจริงหรือ หรือว่าความรักคือ ‘ความเป็นสอง’ ไม่อาจลดทอนไปเป็นหนึ่งได้ ไม่อย่างนั้นมันจะนำไปสู่ความตาย เหมือนวรรณกรรมหลายเรื่องบอกเอาไว้
ถึงที่สุดแม้จะไม่สมหวังในความรัก แต่ใครจะไปรู้อนาคต อาจจะแตกต่างจากครั้งนี้ เลวร้ายอีกแบบหนึ่ง เป็นต้น (หัวเราะ)”

การที่เราไม่อาจเข้าถึงตัวตนของเขาได้หมดจด ไม่ได้ทำให้ความรักลดถอยด้อยค่าลง กลับกัน มันคือเงื่อนไขที่ทำให้ความสัมพันธ์ยังคงมีความหมาย เพราะในระหว่างระยะห่างนั้นเอง เราได้เรียนรู้ ได้เติบโต และได้เฝ้ามองกันและกันคลี่คลายตัวตนออกมาทีละน้อย ถ้าเรามองทะลุไปเสียหมด ความรักอาจแปรเปลี่ยนเป็นเพียงการครอบครอง อีกฝ่ายไม่เหลือที่ว่างให้เปลี่ยนไป
ความรักจึงไม่ใช่การไขปริศนาของอีกฝ่ายให้เสร็จสิ้น แต่คือการยอมรับว่าปริศนานั้นจะคงอยู่เสมอ และนั่นเองที่ทำให้เรายังอยากเรียนรู้ อยากใช้เวลาในวันยามบ่ายวันอาทิตย์อันสงบเงียบ ใช้เวลาหลังวันเหนื่อยล้าว้าวุ่น ทอดอารมณ์ไปกับปริศนาเดิมนั้นต่อไป