เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษในเสวนาเชิงนโยบาย (Policy Talk) หัวข้อ ‘นโยบายสาธารณะ: ทฤษฎีและการปฏิบัติ’ ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ระหว่างการพูดคุยมีนิสิตกลุ่มหนึ่งถือป้ายผ้าข้อความ “สลายการชุมนุม 53 คนสั่งฆ่าอยู่นี่” เพื่อทวงความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง พร้อมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีมาพูดในฐานะวิทยากร
อภิสิทธิ์ยืนยันว่า ตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา ทุกคดีที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมได้ถูกยกฟ้องหมดแล้วทุกศาล และยืนยันว่าไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งยังเคยคัดค้าน ‘นิรโทษกรรมสุดซอย’
การกลับมาปรากฏตัวของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บนเวทีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ จุดให้ความทรงจำปี 2553 ปะทุอีกครั้ง ภาพการโต้ตอบกับนิสิตสะท้อนบาดแผลทางการเมือง ที่สังคมไทยยังเยียวยาไม่หมด และชวนให้ตั้งคำถามซ้ำว่า เรามี ‘วัฒนธรรมความรับผิดทางการเมือง’ มากน้อยเพียงใด
รากลึกของ ‘วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด’ ในสังคมไทย

ป้ายประท้วง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2025 cr.ประชาไท
เพื่อจะเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าว เราอาจต้องย้อนกลับไปมองโครงสร้างเชิงลึกที่หล่อเลี้ยง ‘ความไม่รับผิด’ ในการเมืองไทยมายาวนาน
งานวิจัย วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด และกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้กระทำความผิด ในกรณีปราบปรามและสังหารผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย ระบุว่า นับตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเทศไทยมีกฎหมายรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ด้วยสภาพการเมืองที่มีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยม และฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย ทำให้เกิดการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้ง ทั้งจากรัฐประหารโดยกองทัพ หรือจากรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ
ประชาชนจึงลุกขึ้นชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาล และหลายครั้งการชุมนุมเหล่านั้นกลายเป็นจลาจล ที่นำมาสู่การปราบปรามและสังหารผู้ชุมนุมทางการเมืองตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้บางเหตุการณ์จะสามารถระบุผู้กระทำความผิดหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ชัดเจน แต่กลับไม่สามารถนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงและดำเนินการทางกฎหมายได้
งานวิจัยดังกล่าวย้ำว่า เหตุการณ์ทางการเมือง 4 ครั้งใหญ่ ได้แก่ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, พฤษภาทมิฬ 2535 และการปราบปรามผู้ชุมนุม นปช. ในพฤษภาคม 2553 ล้วนสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึง ‘วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด’ (Impunity Culture) ในสังคมไทย
การชุมนุมปี 2553 ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เกิดขึ้นท่ามกลางการกล่าวหาจากรัฐบาลว่า เป็นกลุ่มก่อความไม่สงบและบั่นทอนความมั่นคงของรัฐ หลายฝ่ายมองว่าผู้ชุมนุมเป็น ‘พวกเผาบ้านเผาเมือง’ และผู้ชุมนุมซ่องสุมอาวุธสงครามเพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่ จนนำไปสู่การปราบปรามที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่กลับไม่มีผู้ใดถูกนำตัวมาลงโทษ อีกทั้งหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังคงมีบทบาท อยู่ในแวดวงการเมืองโดยไม่เคยแสดงความรับผิดใดๆ
งานวิจัยระบุว่า การขาดหลักนิติรัฐและนิติธรรมที่เข้มแข็ง รวมถึงวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกในสังคมไทย เป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างความเข้าใจต่อความร้ายแรงของ ‘วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด’ ปัญหานี้ไม่อาจแก้ได้เพียงด้วยกลไกกฎหมาย หากแต่ต้องอาศัยความตระหนักรู้ของคนทั้งสังคม เพราะสิ่งที่หล่อเลี้ยงวัฒนธรรมนี้อยู่ไม่ใช่เพียงผู้มีอำนาจ แต่คือมนุษย์ทุกคนที่เลือกจะลืมหรือปล่อยผ่านความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น
‘ความปรองดอง’ ที่มาพร้อมการลบเลือนความทรงจำ

ย้อนกลับไปในปี 2553 นปช. หรือคนเสื้อแดง ชุมนุมเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมือง
วันที่ 7 เมษายน 2553 รัฐบาลออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยมีสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้อำนวยการ ก่อนเกิดการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 90 คน ตามข้อมูลของ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
หลังเหตุการณ์ มีการพยายามตามหาความจริง ผ่าน คอป. แต่ถูกตั้งคำถามถึงผลลัพธ์ที่ไม่ได้นำไปสู่ความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต
งานศึกษาเรื่อง ‘การจัดการหลังความขัดแย้งภายหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 ในสังคมไทย’ ชี้ว่า การจัดการหลังความขัดแย้งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ใช้วิธีการสร้าง ‘ความปรองดอง’ ผ่านกระบวนการลบเลือนและเลือกที่จะจดจำ ภาพหนึ่งคือการตอกย้ำว่ากลุ่ม นปช. เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง
ขณะที่อีกภาพหนึ่งคือการร่วมกันทำความสะอาด (Big Cleaning Day) สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งสะท้อนความพยายามของกรุงเทพฯ ที่จะไม่จดจำหรืออยากให้เหตุการณ์จบลง รัฐบาลได้ริเริ่มแผนสร้างความปรองดองแห่งชาติขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังความรุนแรง นำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการ 4 ชุด
หนึ่งในนั้นคือ คอป.โดยมีคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธานที่มีหน้าที่ค้นหาความจริงของเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้จัดโครงการเชิงสัญลักษณ์มากมาย เช่น ‘6 วัน 63 ล้าน ความคิด’, ‘ฉันรักประเทศไทย I Love Thailand’ และ ‘ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง’ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมความปรองดอง ที่จัดโดยกระทรวงมหาดไทยและกองทัพในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
การจัดการหลังความขัดแย้งของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงอาจจำแนกได้เป็น 4 มิติ ได้แก่
- ด้านกฎหมาย: ใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นเครื่องมือหลักในการข่มขู่และไล่ล่าแกนนำ นปช. เพื่อกดดันให้จำยอมต่ออำนาจรัฐ จนกลายเป็นคำถามว่าบรรยากาศการข่มขู่เช่นนี้จะนำไปสู่ ‘ความปรองดอง’ ได้อย่างไร
- ด้านการเมือง: การจัดตั้ง คอป. เพื่อค้นหาความจริงและจัดทำข้อเสนอสร้างความปรองดองถูกตั้งคำถามถึง ‘ความเป็นกลาง’ เนื่องจากรัฐบาลในฐานะคู่ขัดแย้งเป็นผู้ริเริ่มกระบวนการเอง
- ด้านการชดเชยเยียวยา: การเยียวยาในรูปแบบตัวเงินดำเนินไปอย่างกระท่อนกระแท่น ในลักษณะสังคมสงเคราะห์ที่ไม่อาจฟื้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ เพราะรัฐบาลไม่ได้แสดงความสำนึกต่อการใช้ความรุนแรง ส่วนการเยียวยาที่ไม่ใช่ตัวเงินก็ขาดการมีส่วนร่วมของเหยื่อ เช่น ไม่มีสัดส่วนตัวแทนเหยื่อในคณะกรรมการปรองดอง และไม่มีคนกลางที่เข้ามาเป็นสะพานเชื่อมพูดคุยกับผู้เสียหาย
- ด้านสังคมและสัญลักษณ์: โครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์สะท้อนแนวโน้มของ ‘การลืม’ มากกว่าการ ‘จำ’ เพื่อสร้างบทเรียนร่วมของสังคม ภาพการทำความสะอาดราชประสงค์ จึงเป็นมากกว่าการกวาดเศษซาก แต่คือการกวาดความทรงจำทางการเมืองออกจากสายตาสาธารณะ

อย่างไรก็ดี แม้ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ยื่นฟ้องอภิสิทธิ์ สุเทพ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ต่อศาลอาญาในข้อหาพยายามฆ่าและร่วมกันฆ่าผู้อื่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 แต่ศาลอาญายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการ ต้องอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หาก ป.ป.ช. ชี้มูล ผู้เสียหายจึงจะสามารถยื่นคดี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
ต่อมาเมื่อ 29 ธันวาคม 2558 ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป โดยอ้างว่าการสลายการชุมนุมเป็นไปตามหลักสากลและภายใต้กรอบของกฎหมาย เพราะผู้ชุมนุมบางส่วนมีอาวุธและก่อความไม่สงบ จึงจำเป็นต้องขอคืนพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ผู้เสียหายจึงไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้อีก
เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มองว่า สิ่งนี้สะท้อน ‘วงจรปิดของความรับผิด’ เพราะเมื่อคดีระดับนโยบายถูกโยกย้ายเวทีไปยังองค์กรอื่น ความจริงจึงไม่เคยถูกพิสูจน์ “มันเหมือนการน็อกเอาต์ทางเทคนิค” เขากล่าว “ไม่ใช่เพราะศาลพิสูจน์แล้วว่าไม่ผิด แต่เพราะศาลบอกว่าไม่ใช่อำนาจพิจารณา ทำให้คดีจบโดยที่สังคมไม่เคยรู้เนื้อหา”
ความทรงจำที่ไม่จบ และวัฒนธรรมการไม่ต้องรับผิด
เข็มทองมองว่า ปฏิกิริยาที่นิสิตและประชาชนแสดงต่ออภิสิทธิ์ สะท้อนความทรงจำทางการเมืองที่ยังไม่ถูกเยียวยา “มันชัดเลยว่าบางส่วนของสังคมยังเจ็บแค้น และยังรู้สึกว่ายังไม่ได้ ‘ความยุติธรรม’ เหตุการณ์นี้กลายเป็นความทรงจำร่วม ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนที่เห็นเหตุการณ์ แต่ยังอยู่ในฐานของอุดมการณ์ทางการเมือง”
ไม่เพียงเท่านั้น ในโลกออนไลน์ กระแสไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมผสมกับความโกรธ ทำให้การกลับมาของอดีตผู้นำไม่เคยราบรื่นเสมอไป และยิ่งตอกย้ำว่าบาดแผลใหญ่ของสังคมยังไม่ถูกเยียวยา
“มันฉายภาพให้เห็นเลยว่า ถ้าถึงเวลาที่คุณอภิสิทธิ์ต้องออกสู่สาธารณะเต็มตัว โดยเฉพาะยามศึกเลือกตั้ง คำถามปี 53 ยังไงก็กลับมาและต้องเตรียมคำตอบ”
อาจารย์เข็มทองยังอธิบายว่า สังคมไทยพูดถึง ‘วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด’ มานาน และไม่ใช่เพียงในหมู่นักการเมืองระดับบน แต่ลามถึงผู้ถืออำนาจตัดสิน ที่แทบไม่ต้องรับผิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน
“มันทำให้คนในสังคมรู้สึกว่าความผิด สามารถข้ามพ้นได้โดยไม่ต้องเรียนรู้บทเรียนใดๆ”
อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่าไม่ควรเปรียบเทียบต่างประเทศโดยตรง เพราะหลายประเทศที่สามารถนำผู้นำขึ้นศาลได้ ต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง และใช้เวลานับสิบปี กว่าที่โครงสร้างอำนาจใหม่จะมั่นคงพอ
“แม้กระทั่งในประเทศที่มีการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประชาธิปไตย ความเร็วความช้าในการอำนวยความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่านไม่ได้เร็วมาก”

สำหรับประเทศไทย เข็มทองกล่าวว่า “แม้คุณอภิสิทธิ์ ‘สู้คดี’ และศาลมีคำวินิจฉัยไปแล้ว แต่สาระสำคัญคือมันไม่ได้เคลียร์ในเนื้อคดีว่าผิดหรือไม่ผิด นี่แหละที่ทำให้สังคมจำนวนหนึ่งไม่เชื่อผลลัพธ์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อกระบวนการตั้งแต่ต้น”
เขาเปรียบเทียบว่าในสังคมที่มีวัฒนธรรมความรับผิดทางการเมืองเข้มแข็ง ผู้นำจะถูกคาดหวังให้แสดงความเสียใจ ลาออก หรือยอมรับการตรวจสอบ แม้จะยังไม่ถึงขั้นศาล แต่ในไทยปรากฏการณ์มักหยุดอยู่เพียงการตั้งคำถาม มากกว่าการรับผิดจริง
แยกเส้นบางระหว่าง ‘ความรับผิดทางการเมือง’ กับ ‘ความรับผิดทางกฎหมาย’
เข็มทองเสนอว่า การแยกความรับผิดทางการเมือง ออกจากความรับผิดทางกฎหมาย เป็นเรื่องสำคัญต่อการทำความเข้าใจความยุติธรรมในสังคมไทย
ความรับผิดทางการเมือง หมายถึง การอธิบายต่อสาธารณะ การยอมรับผิดพลาด การลาออก หรือการยุติบทบาท แม้จะไม่มีคำพิพากษาจากศาล แต่ในฐานะผู้นำย่อมต้องรับผิดชอบต่อผลของคำสั่งและผลที่เกิดขึ้นกับประชาชน ขณะที่ความรับผิดทางกฎหมาย คือ การถูกฟ้อง สืบพยาน พิพากษา และลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นทางการ

งานรำลึก 15 ปีเหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2025
ในไทยจึงมักเกิดภาพกฎหมายจบ แต่สังคมไม่ยอมจบ เพราะคดีที่เกี่ยวข้องกับนโยบายระดับผู้นำไม่คืบหน้า สังคมจึงหันไปใช้มาตรฐานศีลธรรมทางการเมืองแทน เช่น การไม่ยอมรับบทบาทสาธารณะของผู้นำที่เคยมีส่วนในเหตุการณ์ หรือการตั้งคำถามซ้ำทุกครั้งที่อดีตผู้นำกลับมาในพื้นที่สาธารณะ
เข็มทองยังชี้ว่า หากวันหนึ่งการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง กระบวนทัศน์ทางกฎหมายก็จำเป็นต้อง “ก้าวข้ามกรอบเดิม” ไปด้วย เช่น การตั้งกลไกทบทวนคดีที่เคยผ่านระบบซึ่งไม่เป็นธรรม หรือการพิจารณาว่าความผิดร้ายแรงบางประเภทไม่ควรมีอายุความ
แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีทั้งหลักนิติศาสตร์ที่เฉียบคม และฉันทามติทางการเมืองที่สังคมพร้อมรองรับ
เมื่อความยุติธรรมสะดุด
เมื่อถูกถามว่าเหตุใด “คดีไม่ถึงศาล” เข็มทองตอบสั้นๆ ว่า “เพราะทั้งหมดพร้อมกัน ทั้งตุลาการ โครงสร้างอำนาจ และวัฒนธรรมสังคม ล้วนเสริมกันเป็นวงจร”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ระบบตุลาการและกฎหมายวิธีพิจารณาคดีมัก “ล็อกคดีไว้” ด้วยเหตุผลทางเทคนิค ขณะที่โครงสร้างอำนาจทางการเมืองและราชการก็มีแรงถ่วงจากสายบังคับบัญชา เอกสาร และคำสั่ง ซึ่งทำให้ความจริงไม่อาจถูกเปิดเผยได้อย่างเต็มที่
“ต่อให้คุณยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ทำให้คุณพ้นในสายตาคน เพราะคนจำนวนมากไม่เชื่อกระบวนการตั้งแต่แรก”
เข็มทองยกตัวอย่างประเทศที่สามารถจัดการความรุนแรงทางการเมืองได้บางส่วน มักตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริง (Truth Commission) เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงและสร้างความรับผิดชอบในเชิงสังคม
“การเปิดเผยข้อมูลลับ การเอาฐานข้อมูลต่างๆ มาเปิดเผยให้สังคมเห็นชัดๆ แม้มันอาจยังไม่ถึงขั้นทำให้เกิดความรับผิดทางกฎหมายทันที แต่มันก็สร้างความรู้สึกของความรับผิดชอบในระดับสังคมขึ้นมาได้”

งานรำลึก 15 ปีเหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2025
สำหรับกรณีประเทศไทย เข็มทองยกตัวอย่างคดีปี 2553 ว่าในทางคดี “พอเปลี่ยนจาก ‘คดีฆ่าคนตาย’ ไปเป็น ‘คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ’ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ฐานความผิดเดียวกันเลย มันก็ทำให้เรื่องถูกลดระดับลงเยอะ แล้วศาลก็ไม่รับไว้พิจารณาอีกต่อหนึ่ง
เพราะฉะนั้นจะบอกว่าคุณอภิสิทธิ์ ‘เคลียร์ตัวเอง’ ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ถูกนัก เนื่องจากศาลไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อคดี แต่เป็นการจบด้วยเหตุผลทางเทคนิคทางกฎหมาย เหมือนกับที่เขาเรียกว่า technical knockout”
อย่าปล่อยให้รัฐถือความจริงฝ่ายเดียว
ในมุมของเข็มทอง สิ่งที่ไทยสามารถทำได้ทันที แม้การเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง คือการเริ่มเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทั้งภาคประชาชนและภาควิชาการ “อย่าปล่อยให้หลักฐานจมหาย ถ้าวันหนึ่งเราต้องกลับมาเปิดแฟ้มจริงๆ ‘ข้อเท็จจริง’ คือทุนที่สำคัญที่สุด”
อาจารย์ยังตั้งคำถามต่อความเชื่อมั่นของสังคมต่อระบบตุลาการว่า “คำถามสำคัญคือ คุณคิดว่ากระบวนการสู้คดีนั้นมันแฟร์ไหม ซึ่งสุดท้ายมันขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อแค่ไหนว่า ‘ศาลไทย’ เป็นอิสระและเป็นมืออาชีพ ถ้าคุณเชื่อ คุณก็อาจมองว่าคดีนี้มันจบแล้ว แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็ย่อมเห็นว่ามันยังไม่จบ”
จากนั้นเขาเชื่อมโยงไปยังภาพใหญ่ของปัญหาในเชิงโครงสร้างว่า
“ตอนนี้เรื่องมันไม่ใช่แค่ของคุณอภิสิทธิ์อีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นปัญหาในระดับ ‘ระบบ’ มากกว่า เพราะศาลหรือระบบยุติธรรมของเรายอมรับความชอบด้วยกฎหมายของการรัฐประหาร และคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากฝ่ายรัฐ อย่างคดีซ้อมทรมานหรือคดีใช้ความรุนแรง ศาลเองก็มักยอมรับมันอยู่ในทางปฏิบัติ แบบนี้คนก็เลยไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมอีกต่อไป”
เขาอธิบายต่อว่า หากศาลเคยตัดสินไปแล้วว่า “ไม่ผิด” หรือคดีหมดอายุความไปแล้ว ความรับผิดทางกฎหมายก็จบลงแค่นั้น “แต่ที่เหลือ มันคือความรับผิดทางศีลธรรม ที่คุณรู้สึกผิดไหม รู้สึกละอายไหม และความรับผิดทางสังคมว่า สังคมพร้อมจะให้อภัยคุณหรือยัง”
ท้ายที่สุด อาจารย์เข็มทองทิ้งโจทย์สำคัญว่า “กฎหมายจะเปลี่ยนได้ ต้องมีการเมืองและสังคมที่เปลี่ยนก่อน ถ้าการเมืองยังแบบเดิม นิติศาสตร์ก็เสี่ยงจะเป็นเครื่องมือฟอก แต่ถ้าการเมืองและสังคมกดดันมากพอ กฎหมายย่อมถูกบีบให้ปฏิรูปตัวเองเพื่อความยุติธรรมที่เป็นจริง”
“อย่าปล่อยให้รัฐถือความจริงฝ่ายเดียว ภาคประชาชนและภาควิชาการต้องทำการค้นหาความจริงของตัวเอง (fact-finding) ต้องเก็บข้อมูล รายละเอียด พยานหลักฐานไว้ให้ครบ เพราะถ้าวันหนึ่งเราต้องกลับมาพิจารณาเรื่องนี้อีก แต่ข้อมูลทั้งหมดหายไป มันก็จบ ไม่มีทางทำอะไรต่อได้เลย” อาจารย์เข็มทอง กล่าวปิดท้าย
อ้างอิงจาก
จิดาภา ดรุณวรรณ และ ศิวัช ศรีโภคางกุล, วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด และกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดในกรณีปราบปรามและสังหารผู้ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย, Veridian E-Journal, Humanities, Social Sciences, and Arts 12, no.5 (กันยายน-ตุลาคม 2562).
ธนนท์ สุขวัฒก์ และ ศิวัช ศรีโภคางกุล. (2561). การจัดการหลังความขัดแย้งภายหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 ในสังคมไทย. วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, 6(1), 215-229.