เมื่อวาน (2 พฤศจิกายน 2568) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษในเสวนาเชิงนโยบาย (Policy Talk) หัวข้อ ‘นโยบายสาธารณะ: ทฤษฎีและการปฏิบัติ’ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หลักสูตรปริญญาเอก สาขานโยบายสาธารณะ
จากนั้นได้มีนิสิตกลุ่มหนึ่งถือป้ายผ้าพร้อมข้อความ “สลายการชุมนุม 53 คนสั่งฆ่าอยู่นี่” โดยมีเจตนาทวงความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง พร้อมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมจากการที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เชิญอภิสิทธิ์มาเป็นวิทยากร
อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ยืนยันว่า ตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา ทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้นได้ยกฟ้องหมดแล้วทุกศาล พร้อมยืนยันไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และเขาเองก็เคยต้านนิรโทษฯ สุดซอยทั้งที่ตัวเองได้ประโยชน์ด้วย
เมื่อเนื้อหาที่พูดคุยกันเมื่อวานระหว่าง ‘อภิสิทธิ์-นิสิตจุฬาฯ’ ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะโดยสื่อประชาไท ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ‘แล้วทำไมกรณีที่อภิสิทธิ์สลายชุมนุมคนเสื้อแดงจึงไม่เคยไปถึงศาล?’ The MATTER ได้รวบรวมข้อมูลและหาคำตอบมาให้แล้วในบทความนี้
ย้อนดูกรณีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 2553 และกระบวนการค้นหาความจริง
ย้อนไปเมื่อปี 2553 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ ‘คนเสื้อแดง’ ชุมนุมเรียกร้องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง และยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดทางการเมือง
ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียง โดยส่วนหนึ่งของคำประกาศได้ใช้ถ้อยคำที่เปลี่ยนให้ ‘ผู้ชุมนุมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ’ เป็นบุคคลที่ ‘ก่อให้เกิดความวุ่นวาย’ หรือ ‘ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ’
นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยมีผู้อำนวยการ คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงขณะนั้น ก่อนมีการสลายการชุมนุมกลางเมืองในวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553
ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92-94 คน (ข้อมูลของ คอป. บอกว่าอย่างน้อย 92 คน ศปช.บอกว่าอย่างน้อย 94 คน) แบ่งเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ คือทหารและตำรวจ 10 คน และฝ่ายผู้ชุมนุม สื่อมวลชน รวมถึงประชาชนทั่วไปอีก 82-84 คน โดยศาลชี้ว่ามีอย่างน้อย 18 คน ที่เสียชีวิตเพราะกระสุนจากฝั่งทหาร บาดเจ็บอีกนับพันคน
จากนั้น มีการพยายามตามหาผู้รับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น ผ่านองค์กรอย่าง ‘คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)’ ในการทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2553 แต่ก็ถูกตั้งคำถามถึงผลลัพธ์ที่ไม่ได้นำไปสู่การคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต
กระบวนการยุติธรรม กับการพิจารณาเรื่อง ‘การสลายการชุมนุมกลางเมือง’
หลังจากมีเหตุสลายการชุมนุม ได้เกิดข้อเรียกร้องให้มีการนำอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, สุเทพ เทือกสุบรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ขณะนั้น เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต
หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้สืบสวนกรณีการสลายการชุมนุมครั้งนั้น คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นฝ่ายยื่นฟ้องทั้งสามต่อศาลอาญาในความผิดฐานพยายามฆ่าและร่วมกันฆ่าผู้อื่นด้วยการสั่งให้ใช้อาวุธและกระสุนปืนจริงเข้าสลายการชุมนุม เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 แต่คดีความไม่มีความคืบหน้ามากนัก
หลังการรัฐประหารปี 2557 ศาลอาญาพิพากษา ‘ยกฟ้อง’ จำเลยทั้งสามคน โดยให้เหตุผลว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจากการกระทำดังกล่าว เป็นการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ใช่การกระทำผิดทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ
และหาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ผู้เสียหายจะต้องยื่นคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้ฝ่ายผู้เสียหายจะยื่นอุทธรณ์ฎีกาไปแล้ว แต่ศาลฎีกายังคงยืนให้ยกฟ้องด้วยเหตุผลเดียวกัน เมื่อ 31 สิงหาคม 2560
ทั้งนี้ การพิจารณาคดีก่อนมีคำพิพากษายกฟ้อง ก็ไม่ได้เข้าไปแตะข้อเท็จจริงเรื่อง ‘ความรุนแรงในเหตุการณ์’ อันเป็นเนื้อหาสาระสำคัญในคำฟ้อง ไม่มีการชี้ความผิดหรือแสวงหาข้อเท็จจริงในชั้นสืบพยานหลักฐานใด ทั้งที่มีการออกคำสั่งให้นำกองกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
และการส่งคดีให้ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ยังถูกมองว่าเป็นการแปรเปลี่ยนให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้ก่อความรุนแรงในฐานะ ‘ผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา’ เป็นเพียงการกระทำความผิดใน ‘ข้อหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ’ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม 29 ธันวาคม 2558 ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหากรณี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก ใช้กำลังปราบปรามเข้าสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ‘เป็นอันตกไป’ โดยชี้ว่าการสลายชุมนุมของรัฐบาล และ ศอฉ. เป็นไปตามหลักสากล และอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
พร้อมเน้นย้ำว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดง “มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมจึงมีเหตุจำเป็นที่ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง”
หากเหยื่อความรุนแรง หรือผู้เสียหาย จะเอาผิดกับทหารที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตก็สามารถยื่นฟ้องเป็นรายคนไปได้ โดยให้ส่งเรื่องกลับไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการต่อไป
และหมายความว่า “เหยื่อความรุนแรงและผู้เสียหาย ไม่สามารถดำเนินคดีใดๆ กับเจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับบัญชาและผู้สั่งการได้อีก”
ขณะที่ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้ยื่นฟ้องอภิสิทธิ์และสุเทพ ได้ถูกพิพากษาจำคุกในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2566
เปรียบเทียบกรณี ‘สลายการชุมนุมพันธมิตรฯ’ นำสู่การตั้งคำถามมาตรฐานของ ป.ป.ช.
ถัดมา จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงในเวลานั้น ได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ให้หยิบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องการกล่าวหาอภิสิทธิ์กับพวกร่วมกันสั่งการในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงขึ้นพิจารณาใหม่อีกครั้ง แต่ ป.ป.ช. ก็มีมติยกคำร้องอีกครั้ง ด้วยเหตุผลว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใหม่
ถึงกระนั้น การยกคำร้องของ ป.ป.ช. ก็นำไปสู่การตั้งข้อสงสัยในการทำงานแบบ ‘2 มาตรฐาน’ ของหน่วยงานรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีสลายการชุมนุมในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการต่อต้านรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยเหตุดังกล่าวมีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 443 คน บางรายแขนขาดหรือขาขาด และมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 1 ราย
โดย ป.ป.ช. พิจารณาว่า การสลายการชุมนุมของรัฐบาลสมชาย ‘ไม่ปรากฏแนวทางการปฏิบัติที่เป็นไปตามขั้นตอนและหลักการสากล’ คือ มีการใช้แก๊สน้ำตาชนิดยิงและขว้างเพื่อผลักดันประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ ตลอดทั้งวัน โดยอดีตนายกฯ สมชาย ก็ไม่ได้สั่งระงับหรือยับยั้งการปฏิบัติการดังกล่าว
ส่วนเหตุสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ป.ป.ช. มองว่า อภิสิทธิ์กับพวกได้มีการสั่งการโดยมีแนวทางการปฏิบัติ และเน้นย้ำการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทุกระดับตามขั้นตอน กฎและหลักการสากลในการสลายการชุมนุม พร้อมยืนยันคำเดิมว่า ‘การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ไม่ได้เป็นไปตามหลักรัฐธรรมนูญ’
แต่หากพิจารณาข้อเท็จจริงในการชุมนุมของมวลชนทั้ง 2 กลุ่ม พบว่า ความรุนแรงและพยานหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ต่อมวลชนกลุ่มแรกไม่ได้มีลักษณะแตกต่างกับมวลชนกลุ่มหลังแม้แต่น้อย พร้อมการตีตราว่า “กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็น ผู้ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง รัฐจึงต้องใช้กำลังปราบปรามเพื่อให้เกิดความสงบสุข”
สุดท้ายนี้ กรณีดังกล่าวก็เป็นเครื่องสะท้อนถึง ‘วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด (Impunity)’ อีกครั้ง และการเอาผิดต่อผู้สั่งการให้เกิดการสังหากประชาชน อาจไม่ต้องรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว รวมถึงกระบวนการยุติธรรมที่ไม่อาจให้ความช่วยเหลือหรือยืนเคียงข้างผู้สูญเสีย
ทั้งนี้ มีครอบครัวของเหยื่อความรุนแรงจำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันยื่นฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายทางแพ่งต่ออดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในความผิดฐานละเมิด รวมถึงการพยายามเรียกร้องให้มีการ ‘ฟื้นคดี’ เหตุการณ์สลายการชุมนุม ปี 2553 ขึ้นมาอีกครั้ง
โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวล่วงเลยมากว่า 15 ปี และหากครบอายุความคดีอาญา 20 ปี ก็อาจส่งผลให้ผู้เสียหายไม่สามารถเรียกร้องเอาผิดจากผู้กระทำผิดในนามของรัฐได้อีกต่อไป
อ้างอิงจาก