ทำไม วันดีๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นวันที่เราไปนั่งเงียบๆ หรือตั้งใจทำงานที่ร้านกาแฟ กระทั่งวินาทีที่เรายืนอยู่บนรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน เรากลับหงุดหงิดเมื่อมีใครซักคนเปิดลำโพงมือถือ ไม่ว่าคนคนนั้นอาจจะดูยูทูบ ฟังเพลง ดูติ๊กตอก หรือกำลังคอลคุยกับใครซักคน
อันที่จริงคำตอบค่อนข้างเรียบง่าย เพราะสิ่งที่ถูกทำลายไปของเราคือความสงบ ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ส่วนรวมเช่น ร้านกาแฟหรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เราทุกคนมีสิทธิที่จะใช้พื้นที่นั้นๆ โดยมีความสงบเป็นที่ตั้ง ยิ่งพื้นที่อย่างร้านกาแฟที่เราจ่ายเงินเพื่อนั่งทำงานหรือทำกิจกรรมที่ตั้งใจไว้ เสียงดังของลำโพงย่อมทำลายการใช้งานพื้นที่นั้นๆ
ประเด็นเรื่องการเปิดลำโพงในพื้นที่สาธารณะนอกจากความเข้าใจเรื่องการใช้พื้นที่สาธารณะซึ่งคนเราอาจจะมีความเข้าใจหรือเคารพแตกต่างกัน ความก่อกวนของเสียงลำโพงยังสัมพันธ์กับการทำงานของสมองและร่างกายทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดเป็นพิเศษ
อีกส่วนอาจเป็นเรื่องของวัย เรามักจะพบว่าผู้ใหญ่ มักจะมีพฤติกรรมเปิดลำโพงซึ่งก็อาจเกี่ยวข้องกับความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ รวมถึงความเคยชินกับเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน
ประเด็นเรื่องการเปิดลำโพงในที่สาธารณะจึงมีความซับซ้อน ค่อนข้างเป็นภาวะที่เกิดความขัดแย้งขึ้นในหลายพื้นที่ คือมีบทความ มีเสียงบ่นในหลายๆ สื่อจากทั่วโลกเรื่องการไม่ใส่หูฟัง มีการพูดถึงในระดับสภาว่าควรจะบังคับการใช้หูฟัง จนไม่นานมานี้ที่ฝรั่งเศสถึงขนาดออกเป็นกฎหมาย คือถ้ามีการเปิดลำโพงเสียงดังจะถูกปรับเงิน 5,000 บาท (150 ยูโร)
ปวดหัวในระดับสมอง
ประเด็นเรื่องการเปิดลำโพงจนรบกวนผู้อื่น นอกจากพื้นฐานเรื่องการเคารพผู้คนในพื้นที่สาธารณะซึ่งการเปิดเสียงเป็นการก่อกวน ซึ่งผู้ใช้งานพื้นที่คนอื่นๆ เลือกไม่ได้ในการฟังเสียงลำโพงที่ใครซักคนเปิดขึ้นมา หรือเราไม่อยากรับรู้เรื่องราวชีวิตของใคร
เบื้องต้น ก่อนจะคุยกันเรื่องช่องว่างเรื่องวัย รวมถึงเรื่องการเปิดลำโพงอาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบมารยาทและความเข้าใจการใช้งานอุปกรณ์ซึ่งอาจมีเรื่องวัยเข้ามาเกี่ยวข้อง อันที่จริง ความหงุดหงิดต่อเสียงลำโพงมือถือ มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ว่าบางครั้งเราอาจรู้สึกหงุดหงิดต่อเสียงลำโพงที่ดูเล็กน้อยกว่าเสียงรบกวนอื่นๆ ซึ่งสัมพันธ์กับระบบประสาทและสมองของเรา
สิ่งแรกที่หลายคนอาจเข้าใจคือแค่เสียงลำโพงเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จริงเจ้าเสียงพูดคุยหรือเสียงหึ่งๆ จากลำโพงส่วนบุคคล ส่งผลกับเราคนรอบข้างกว่าที่คิด หมายความว่าเรารำคาญเพราะสมองเราพยายามจัดการกับเสียงหรือเนื้อหาจากลำโพงนั้นๆ

กล่าวคือ เจ้าเสียงจากลำโพงมือถือคนอื่น มักเป็นบทสนทนา หรือเป็นเนื้อหาที่เราไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแค่ครึ่งเดียว ตรงนี้เองที่เมื่อเราได้ยิน สมองของเรามักจะพยายามทำความเข้าใจ หรือทำนายอีกครึ่งหนึ่งของบทสนทนา เนื้อหาที่สมองพยายามเติมเต็มนี้ยิ่งดึงความสนใจของเราไปยังเสียงจิ๋วๆ ในลำโพงนั้นๆ แม้ว่าเราพยายามจะไม่สนใจเท่าไหร่ สมองของเราก็จะยิ่งพาความสนใจไปยังลำโพงมือถือนั้นเสมอ
ประกอบกับลำโพงมือถือที่มักมีคุณภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มักเป็นเสียงที่แหลมผิดปกติ สมองของเรามีแนวเชื่อมโยงไปกับเสียงธรรมชาติที่เป็นเสียงนอยส์ธรรมชาติ (white noise) เสียงแหลม แตกพร่าของลำโพงจึงมักเป็นเสียงที่แหลม แทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงหึ่งๆ ทั่วไปของบรรยากาศที่พึงปรารถนาและสร้างสมาธิ
เมื่ออธิบายด้วยสองเงื่อนไขนี้ คือบทสนทนาหรือเสียงเรื่องราวที่อู้อี้ กับเสียงเสียดๆ แหลมๆ ของลำโพงที่ทะลุบรรยากาศเงียบสงบของสิ่งรอบข้าง จึงไม่แปลกที่เสียงลำโพงจะเสียดแทงเข้าระบบประสาทและสมองของเรา ทำลายความสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น
และพอการรับรู้ของเราถูกรบกวน สิ่งที่ตามมาคือความคับข้องใจของเรา ที่มีต่อเสียงลำโพงนั้นๆ เป็นความขัดข้องหมองใจว่าทำไมคนคนนั้นถึงไม่เคารพถึงมารยาททางสังคม ละเมิดการใช้พื้นที่หรือความสงบชองคนอื่นได้โดยไม่แยแสสนใจ
ว่าด้วยวัย และเทคโนโลยี
ทีนี้ ประเด็นเรื่องวัฒนธรรม รวมถึงช่วงวัยก็ดูจะเป็นเงื่อนไขในประเด็นการเปิดลำโพงในที่สาธารณะ การเปิดลำโพงดูจะเกี่ยวข้องกับมารยาทการใช้เทคโนโลยี ซึ่งถ้าพูดกันตามเนื้อผ้าก็ถือเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้ว่าถ้านับกันจริงก็อาจจะหลักสิบปีแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงหลังเทคโนโลยีเข้าถึงคนมากขึ้น รวมถึงไม่ใช่คนทุกวัฒนธรรมและทุกช่วงวัยจะมีความชำนาญซึ่งรวมถึงความเข้าใจมารยาทในการใช้มือถือในพื้นที่สาธารณะ
บางจังหวะเช่นในประเทศไทยเอง ก็เคยมีกรณีในปี 2567 ชาวต่างชาติตั้งข้อสังเกตว่าในบางพื้นที่คนไทยเปิดเสียงโทรศัพท์เต็มที่ (กลับกันระยะหลังมีเสียงชื่นชมความเงียบบนรถไฟฟ้าของคนไทย) หลายความเห็นแสดงว่าคนไทยมีความอดทนต่อเสียงรบกวนสูง หรือก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2006 มีกระแสถกเถียงในรัฐสภาอังกฤษว่าควรต้องบังคับการใส่หูฟังในพื้นท่ีสาธารณะเช่นโรงพยาบาลและขนส่งสาธารณะ อังกฤษเรียกการเปิดเพลงผ่านลำโพงว่า Piped Music ในหลายเวปบอร์ดก็พูดเรื่องปัญหาการเปิดลำโพงเสียงดังกันในหลายพื้นที่
หนึ่งในการถกเถียงในยุคหลังซึ่งเป็นเป้าหมายของการเปิดลำโพง คือคนที่มักเปิดลำโพงคุยบ้าง หรือฟังคลิปต่างๆ ในที่สาธารณะบ้าง คือคนรุ่นพ่อรุ่นแม่หรือคนยุคบูมเมอร์ นอกจากความเข้าใจเรื่องการใช้พื้นที่สาธารณะ รวมถึงความเข้าใจเช่นที่อธิบายไปข้างต้นว่าการเปิดลำโพงเล็กๆ แต่ผลอาจไม่เล็กตาม (คือพ่อแม่เราอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้รบกวนใครจริงๆ)
ในหลายข้อสังเกต รวมถึงประสบการณ์ มาจากการที่คนรุ่นพ่อแม่เราไม่เชี่ยวชาญและไม่คุ้นเคยกับตัวมือถือด้วย อย่างแรกคือผู้ใหญ่เพิ่งจะมาเข้าถืงใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เริ่มใช้สมาร์ทโฟน เล่นเฟซบุ๊ก ติ๊กตอก ดังนั้น แค่เล่นมือถือได้ก็ถือว่าก้าวหน้าแล้ว การหวังให้ผู้ใหญ่มีและคุ้นเคยกับอุปกรณ์เสริมคือหูฟัง เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนขึ้นไปอีก

พูดง่ายๆ คือพ่อแม่เราไม่ได้ชินกับการใช้หูฟัง ตรงนี้ดูเป็นวัฒนธรรมระดับเจนเนอเรชั่น คนเจนวาย อาจจะชินกับวัฒนธรรมการฟังเพลงด้วยซาวอเบาท์ เราจึงรู้สึกว่าการใช้หูฟังเป็นอีกอวัยวะและอุปกรณ์ที่เราเข้าใจได้ ซึ่งไม่ใช่พ่อแม่ของเรา
ในอีกมุมมองคือ คนรุ่นพ่อแม่รู้สึกว่าการฟังโทรศัพท์ด้วยหู คือเอาหูไปแนบ รู้สึกว่าได้ยินไม่ชัด การฟังผ่านลำโพงชัดกว่า รู้เรื่องกว่า ในจุดคือจังหวะของความไม่ชำนาญในการใช้ พวกท่านอาจพบว่าหลายครั้งที่โทรศัพท์หรือแอปฯ ต่างๆ มีเสียงลอดขึ้นมาเอง มีระบบออโต้เพลและอื่นๆ ซึ่งผู้ใหญ่มักจะตั้งค่าหรือจัดการเสียงที่โผล่ขึ้นมานั้นไม่ชำนาญ ปิดหรือลดเสียงไม่ได้ทันที
ดังนั้น เรื่องเสียงรบกวนจากลำโพงมือถือจึงค่อนข้างซับซ้อน ในหลายประเทศมีการถกเถียง ล่าสุดราวต้นปี 2025 เกิดกระแสรายงานว่าที่ฝรั่งเศส มีการออกกฎหมายและลงมือปรับคนที่เปิดลำโพงโดยเฉพาะในพื้นที่ขนส่งสาธารณะทั้งในสถานะและบนรถ ค่าปรับสูงราว 5,000 โดยหลักการถือว่าเสียงลำโพงรบกวนความสงบของสาธารณชน
ความน่าสนใจคือในการถกเถียงซึ่งก้าวไปเป็นระดับข้อบังคับและนโยบาย รัฐเริ่มมองว่าเสียงของลำโพงเป็นเสียงรบกวนที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ ไม่ใช่แค่ความรำคาญเพียงอย่างเดียว มีข้อสังเกตว่าเสียงดังจากลำโพงและการพูดคุยด้วยลำโพงสร้างบรรยากาศหรือก่อให้เกิดความตึงเครียด เกิดความวิตกกังวล ทั้งยังคำนึงถึงกลุ่มผู้ที่เปราะบางต่อเสียงรบกวน เช่นผู้ที่เจ็บป่วยไปจนถึงผู้มีภาวะออทิซึ่ม
ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ดูจะเล็กๆ น้อยๆ จากเสียงลำโพง ซึ่งจริงๆ สัมพันธ์กับความซับซ้อนของร่างกายในการเผชิญกับมลภาวะทางเสียง บางส่วนสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรม เกี่ยวข้องกับความเข้าใจและการรับรู้ในการใช้งานเทคโนโลยีที่บางส่วนยังถือว่าเป็นของใหม่ เป็นความชำนาญในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก ไปจนถึงการดูแลและสร้างความรู้สึกปลอดภัยสำหรับคนทุกคน
อ้างอิงจาก