มีคนบอกว่า ผมทรงกะลาครอบกำลังมาแรง
ตามประวัติศาสตร์การตัดผมแบบตะวันตก ทรงกะลาครอบนี้จริงๆ เรียกว่า Bowl Cut ซึ่งเกิดจากการเอา Bowl มาครอบศีรษะ (จริงๆ ใช้อะไรก็ได้ ชาม หม้อ หรือถ้ากะลามันใหญ่พอ จะเอามาครอบหัวก็ได้) แล้วตัดผมส่วนที่เกินจากแนวกะลาทิ้งไปให้เหลือแต่ผมที่ ‘เนี้ยบ’ อยู่ในร่องในรอยของขอบกะลาทั้งหมด แค่นี้ก็เรียกว่าผมทรงกะลาครอบแล้ว
ดูเผินๆอาจไม่เกี่ยวข้องกันสักเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่เห็นผมทรงกะลาครอบ ผมมักนึกถึงความหมายของคำว่า ‘วัฒนธรรม’ ขึ้นมาทุกทีไป
ถ้าเราดูความหมายของคำว่า ‘วัฒนธรรม’ เราจะพบว่า ‘ความหมาย’ ของวัฒนธรรมที่รัฐไทยให้ไว้ มีความแตกต่างกันไปตามยุคสมัย เช่นถ้าดูในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2485 จะพบว่าในนั้นให้ความหมายของคำว่าวัฒนธรรมเอาไว้ หมายถึง ‘ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน’ โดยแบ่งย่อยออกไปเป็นคติธรรม เนติธรรม สหธรรม วัตถุธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีแกนกลางอยู่ตรง ‘ความดีงาม’ ทั้งสิ้น
พจนานุกรมราชบัณฑิตในแต่ละเวอร์ชั่นให้ความหมายของคำว่าวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน แต่ถ้ามาดูเวอร์ชั่นล่าสุด (คือปี 2542) เราจะพบว่ามีการให้ความหมายเอาไว้สองแบบด้วยกัน แบบแรกมีความหมายคล้อยคล้ายกับความหมายในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ คือบอกไว้ว่าวัฒนธรรมคือ ‘สิ่งที่ทำความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมในการแต่งกาย) แต่อีกความหมายหนึ่งนั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะบอกว่า วัฒนธรรมคือ ‘วิถีชีวิตของหมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมพื้นบ้าน วัฒนธรรมชาวเขา’
ความหมายของวัฒนธรรมในแบบที่สองนี้ไปคล้ายกับความหมายของ Cambridge English Dictionary ที่บอกไว้ว่า วัฒนธรรม (หรือ culture) คือ The way of life, especially the general customs and beliefs, of a particular group of people at a particular time
ถ้าดูให้ดี เราจะเห็นว่าความหมายของวัฒนธรรมสองแบบนี้แตกต่างกันอย่างมาก
อย่างแรกเน้นที่ความเจริญงอกงาม ระเบียบเรียบร้อย กลมเกลียวก้าวหน้า และศีลธรรมอันดี แต่อย่างที่สองเน้นไปที่ ‘วิถีชีวิต’ของผู้คนในกลุ่มสังคมนั้นๆ
ดังนั้น ความหมายอย่างแรก จึงคือการเอา ‘แบบและเบ้า’ แห่งความดีความเจริญ (ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนกำหนดว่าสิ่งนั้นดีเหนือว่าสิ่งอื่น) มาเป็นตัวตั้ง แล้วบอกว่าถ้ามีสิ่งนี้ก็เท่ากับมีวัฒนธรรม แต่ถ้ามีน้อยหรือไม่มีเลย ก็มีวัฒนธรรมน้อยหรือไร้วัฒนธรรมกันไปตามเพลง ดังนั้น ในความหมายนี้ การมี ‘วัฒนธรรม’ ที่ ‘ดีงาม’ จึงมีแบบเดียว
แต่ความหมายในอย่างที่สองซึ่งเน้นไปที่ ‘วิถีชีวิต’ นั้น กำลังบอกเราว่าไม่ว่าจะเป็น ‘วิถี’ ของคนกลุ่มไหนก็ตาม ก็สามารถถือว่าเป็นวัฒนธรรมได้ทั้งนั้น ดังนั้นวัฒนธรรมในความหมายนี้จึงมุ่งเป้าไปที่ความหลากหลายเป็นสำคัญ
สองความหมายของคำว่า ‘วัฒนธรรม’ ที่พจนานุกรมให้ไว้ จึงขัดแย้งในตัวเองอย่างที่สุด เพราะอย่างหนึ่งให้ความสำคัญกับแกนกลางอันสูงส่งและมีลำดับชั้น (บางคนเรียกว่าเป็น Monadic Culture คือเป็นวัฒนธรรมที่มีปรัชญาแบบ Monad เป็นแกน) ส่วนอีกแบบแตกกระจายลำดับชั้นพวกนั้นออก ทำลายความเหลื่อมล้ำและความสัมพันธ์เชิงอำนาจต่ำสูง แล้วประกาศว่าไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตที่แตกต่างขนาดไหน ก็สามารถมี ‘วัฒนธรรม’ ในแบบของตัวเองที่เสมอภาคกันได้ทั้งนั้น
ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของคำว่าวัฒนธรรม เราจะพบว่ามันมีรากมาจากยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ที่เอา ‘วัฒนธรรม’ ไปอิงอยู่กับ ‘อารยธรรม’ โดยแนวคิดเรื่องวัฒนธรรมเกิดขึ้นเพื่อจะบอกว่าสังคมไหน มี ‘ความสูงส่ง’ มากกว่ากัน คำว่า ‘วัฒนธรรม’ ที่เกิดขึ้นช่วงนั้นจึงเท่ากับการบอกว่า ‘วิถีชีวิต’ แบบหนึ่ง (เช่นวิถีชีวิตของขุนนางหรือฟิวดัลลอร์ด) ย่อม ‘สูง’ กว่าวิถีชีวิตของทาสติดที่ดิน วัฒนธรรมแบบนี้จึงเน้นไปที่ความไม่เท่าเทียมกัน มีการเหยียดกดกัน นำไปสู่แนวคิดเรื่องการล่าอาณานิคม การเดินทางไป ‘ทำความสะอาด’ แผ่นดินอื่นด้วยการเผยแผ่ศาสนา และแม้กระทั่งกลายมาเป็นแนวคิดเรื่องชนเผ่าอารยันที่เหนือกว่าชนเผ่าอื่น นำไปสู่วิธีคิดแบบนาซีในที่สุด
คำว่าวัฒนธรรมในยุคนั้น จึงมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดลำดับชั้นทางสังคม (Social Stratification) อย่างมาก สังคมไหนที่มี ‘สิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม’ (Cultural Invention) มากกว่า สลับซับซ้อนกว่า เช่น บ้านช่องห้องหับที่หรูหราเป็นระเบียบเรียบร้อย จะถูกมองว่ามีวัฒนธรรมที่ ‘สูง’ กว่าบ้านที่ซอมซ่อยากจนไร้ระเบียบ แล้วถ้าสูงขึ้นไปอีก ก็จะเกิดเป็น High Culture หรือวัฒนธรรมระดับสูง ที่ล่องลอยอยู่เหนือวัฒนธรรมชาวบ้านหรือวัฒนธรรมมวลชนประเภท Folk Culture
เพราะฉะนั้น การจะ ‘มีวัฒนธรรม’ ได้ จึงต้องเป็นเรื่องที่ต้องบ่มเพาะปลูกฝังเพื่อให้บรรลุถึง ‘แบบและเบ้า’ ทางวัฒนธรรมแบบเดียวที่สูงสุด เหมือนกับรากศัพท์ของคำว่า Culture ที่สัมพันธ์กับคำว่า Cultivation คือการบ่มเพาะมนุษย์ให้บรรลุถึงระดับสูงสุดของทุกสิ่งทุกอย่าง
ในอังกฤษยุคศตวรรษที่ 19 คำว่าวัฒนธรรมหรือ Culture มีความหมายถึงการที่มนุษย์ต้องปรับตัวเอง (refine) เพื่อให้บรรลุสู่สภาวะที่สมบูรณ์แบบ (the best that has been thought and said in the world) กันเลยทีเดียว
แต่เมื่อประชากรมีจำนวนมากขึ้น ในที่สุดก็เกิดวัฒนธรรมในแบบวิถีชาวบ้านขึ้น ซึ่งเมื่อได้รับการติดอาวุธด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทุนนิยม และบริโภคนิยม ต่อมาก็กลายเป็น Pop Culture หรือวัฒนธรรมมวลชนที่ทรงอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เป็นนักร้องนักดนตรีหรือดารานักแสดง เริ่มมีอำนาจทางวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่อำนาจทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาพร้อมกับอำนาจของรัฐหรือผู้ปกครองอีกต่อไป แต่เป็นอำนาจที่เกิดจากความนิยมของมวลชนเองผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไป ซึ่งในระยะแรกก็ยังถูกมองด้วยสายตาหมิ่นแคลนว่าเป็นวัฒนธรรมที่ ‘ต่ำ’ กว่าวัฒนธรรมชั้นสูงดั้งเดิมอยู่ดี อย่างการใช้คำพูดว่า ‘เต้นกินรำกิน’ กับกลุ่มก้อนทางวัฒนธรรมใหม่นี้ เป็นต้น
ทีนี้เมื่อ ‘อำนาจ’ ในทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นใหม่ค่อยๆ ทวีขึ้น การต่อสู้ต่อรองกับอำนาจทางวัฒนธรรมแบบเก่าก็ย่อมเกิดมากขึ้นด้วย ผู้คนพยายามดิ้นรนต่อต้านให้พ้นจากกระบวนการ ‘ครอบ’ (เหมือนผมทรงกะลาครอบ) ของอำนาจทางวัฒนธรรมแบบเก่า เพื่อให้ ‘หลุด’ ออกมาสู่โลกที่หลากหลายมากขึ้น แบบเดียวกับที่อิมมานูเอล คานท์ เคยประกาศไว้ตั้งแต่ยุค Enlightenment ว่า
มนุษย์ควรจะ Dare to be wise หรือ ‘กล้าที่จะฉลาด’ ไม่ใช่ขลาดกลัวขดตัวอยู่ในการครอบงำของกรอบขนบหรืออำนาจเก่า
ความหลากหลายทำให้โลกของเรากว้างขึ้น ผมทรงกะลาครอบของเราจะยาวขึ้นเพราะกะลาที่ครอบอยู่ใหญ่ขึ้น และที่สุดก็อาจมองเห็นความหลากหลายของทรงผม จนถึงขั้น ‘กล้า’ โยนกะลาทิ้งได้ การมองเห็นความแตกต่างหลากหลายจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ย้อนกลับไปเสริม ‘ความกล้า’ ให้เรา ดังนั้น กระบวนการ Dare to be wise ของคานท์ จึงสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการมองเห็นและยอมรับความแตกต่างหลากหลายของผู้คนบนโลกนี้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมด้วย
นั่นทำให้คำว่า ‘วัฒนธรรม’ ในความหมายของ ‘วิถีชีวิต’ ที่หลากหลาย ยิ่งมีความหมายที่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ ‘วัฒนธรรม’ ในความหมายแบบเก่า (คือวัฒนธรรมอันดีงามตามแบบและเบ้าที่มีแบบเดียว) ค่อยๆมีพื้นที่หดเล็กลง และไร้ความหมายลงไปทุกที
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราย้อนกลับมาดูคำว่า ‘วัฒนธรรม’ ในภาษาไทย แล้วเทียบกับความหมายของคำว่า Culture ในภาษาอังกฤษ เราจะพบว่า ‘การเคลื่อน’ ของคำสองคำนี้ไปตามกงล้อของยุคสมัยนั้น เป็นไปด้วยความหนืดที่ไม่เท่ากัน
ในโลกตะวันตก เวลาบอกว่าใครคนหนึ่งเป็นคนที่ Cultured ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นมี ‘วัฒนธรรมอันดีงาม’ แบบชาววังวิคตอเรียน หรือเป็นขุนน้ำขุนนาง หรือมีกิริยามารยาทเรียบร้อยนั่งพับเพียบเพียงอย่างเดียว แต่คำว่า Cultured ในโลกยุคใหม่ (ตามที่ wikitionary ให้นิยามไว้) มีความหมายว่า Learned in the ways of civilized society หรือ ‘ได้เรียนรู้ (มาแล้ว) ถึงวิถีแห่งสังคมที่มีความศิวิไลซ์’
พึงสังเกตว่า คำว่า way นั้น เติม s ด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นมันจึงมีนัยบ่งบอกชัดเจนว่า ‘วิถี’ ที่ว่านี้ คือวิถีที่มีความหลากหลาย และดังนั้น ความรู้ที่มีจึง ‘หลากหลาย’ ตามไปด้วย
ถ้าใช้คำแบบคานท์ ต้องบอกว่าคนที่ Cultured นั้น แทนที่จะเป็นคนที่ถูกปรับดัด (refined) จนสมบูรณ์แบบ (ตามแบบและเบ้าของอำนาจเก่า) แต่กลับเป็นคนที่ได้ผ่านขั้นตอน Dare to be wise มาแล้ว คือ ‘กล้า’ ที่จะก้าวข้ามการครอบงำของกะลาแห่งความหมายดั้งเดิมที่ครอบหัวเขาอยู่ เพื่อไปเรียนรู้ความแตกต่างหลากหลายในโลกรอบตัว ดังนั้นเองจึงทำให้คนคนนั้นเป็นคนที่ Cultured
แต่ถ้าย้อนกลับมาดูภาษาไทย แม้เราแปลคำว่า Culture ว่า ‘วัฒนธรรม’ แต่พอพูดถึง ‘วัฒนธรรมไทย’ เรามักต้องนึกถึงคำว่า ‘อันดีงาม’ ต่อท้ายเสมอ นั่นคือเหมือนเรายังถูกขังอยู่ในกรอบกรงของความหมายทางวัฒนธรรมในแบบแรก ไม่ได้ก้าวออกมาจากทรงผมกะลาครอบนั่น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่กล้า Dare to be wise เพื่อจะเรียนรู้ถึงโลกที่กว้างกว่าแบบและเบ้าที่เรารู้จัก
คำว่า ‘วัฒนธรรมไทยอันดีงาม’ จึงมีปัญหา เพราะมันคือการหมกตัวอยู่กับความหมายในโลกเก่า โลกฟิวดัล
โลกที่เห็นว่าวิถีปฏิบัติของตัวเองเหนือกว่า สูงกว่า และดีงามกว่าวิถีปฏิบัติของคนอื่น (ทั้งที่เอาเข้าจริง วิถีปฏิบัติบางอย่างก็ไม่ได้ทำจริงแล้วในโลกปัจจุบัน) เป็นโลกที่ไม่ยอมให้คนคิดต่างไปจากขนบเดิม อำนาจเดิม และพยายามลากดึงโลกใหม่ให้ถอยหลังกลับไปสู่อดีตอยู่เสมอ
ยิ่งมองในแง่วัฒนธรรมอำนาจ เรายิ่งเหมือนคนที่เอาแบบและเบ้าของกะลามาครอบหัวเพื่อตัดผมทรงกะลาครอบไม่จบไม่สิ้น ยิ่งกะลา (หรือ bowl) เล็กเท่าไหร่ ผมของเราก็ยิ่งสั้นและ ‘เกรียน’ มากขึ้นเท่านั้น เหมือนได้รับการออกแบบทรงผมโดยช่างตัดผมคนเดียวที่ไม่เพียงไร้จินตนาการ แต่ยังมองไม่ออกด้วยว่ารูปกะโหลกและใบหน้าของผู้คนล้วนแตกต่างหลากหลายเกินกว่าจะตัดผมทรงเดียวกันได้ทั้งโลก
โปรดอย่าลืมว่า วัฒนธรรมในความหมายของกะลาครอบแทบไม่ได้ ‘นับรวม’ วิถีชีวิตอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากตัวเองไว้ในจักรวาลของตัวเองด้วยเลย แต่วัฒนธรรมในความหมายของวิถีชีวิตที่หลากหลายนั้น ‘นับรวม’ วัฒนธรรมกะลาครอบเอาไว้เป็นหนึ่งในความหลากหลายด้วยเสมอ
ผมทรงกะลาครอบที่เป็นไปตามแฟชั่นและความต้องการของผู้ตัดนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ผมทรงกะลาครอบแบบที่มองไม่เห็น ทว่า ‘ครอบ’ เราอยู่ผ่านอำนาจทางวัฒนธรรมที่มองไม่เห็นนั้นต่างหากที่เป็นปัญหา
ยิ่งถ้าเราไม่มีสำนึก Dare to be wise แบบคานท์ เราอาจต้องอยู่ในโลกยุคกลางของวัฒนธรรมกะลาครอบแบบดั้งเดิมไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้