เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปถ่ายทำรายการ Journal Journey ที่เมืองจิจิบุ จังหวัดไซตามะ เพื่อพาไปดูเมืองกลางหุบเขา
เมืองนี้มีจุดน่าสนใจคือ หลังจากอนิเมะชื่อดัง Ano Hana หรือชื่อไทยคือ ดอกไม้ มิตรภาพ และความทรงจำ กลายเป็นอนิเมะชื่อดัง เมืองจิจิบุ ที่เป็นฉากในเรื่อง ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่สำหรับแฟนอนิเมะ ที่มาตามรอยฉากต่างๆ ในเรื่อง จนกลายมาเป็นจุดขายใหม่ของเมือง ซึ่งในร้านขายของที่ระลึก ก็เต็มไปด้วยสินค้าที่ร่วมงานกับอนิเมะเรื่องดังกล่าว ตั้งแต่เครื่องดื่ม ขนม ยันแฟ้มที่ระลึก เรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างท้องถิ่น กับอนิเมะในการโปรโมตเมืองอย่างเต็มที่
ซึ่งการเอาอนิเมะมาเป็นจุดขายของเมืองก็ยิ่งถูกเน้นย้ำมากขึ้นไปอีก เมื่ออนิเมะเรื่อง Kokoro ga Sakebitagatterunda (Anthem of the Heart) โดยทีมเดิมจาก Ano Hana ก็กลับมาใช้เมืองจิจิบุเป็นโลเคชั่นอีกครั้ง ทำให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยจุดต่างๆ ที่โผล่ในอนิเมะฉากนั้นฉากนี้ กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ให้แฟนอนิเมะมาตามเที่ยวดู ถ่ายภาพ และซื้อของกลับไปเป็นที่ระลึกตามประสาคนที่รักอนิเมะ ผมเองก็เลือกไปเมืองนี้ เพราะอยากจะไปดูการนำเอาอนิเมะมาเป็นจุดขายของเมือง รวมไปถึงอยากไปดูโลเคชั่นถ่าย MV ของ Nogizaka46 ที่ร้องเพลงธีมจากเรื่องหลังนั่นล่ะครับ (อันนี้เป็นแพชชั่นที่แรงกว่า)
สำหรับแฟนอนิเมะแล้วการไปตามรอยโลเคชั่นต่างๆ ที่ปรากฎในอนิเมะที่ตนเองชื่นชอบ ก็ถือเป็นภารกิจที่สนุกสนานอย่างหนึ่ง จนเขาเรียกว่า แดนศักดิ์สิทธิ์ (聖地) แทนคำว่าโลเคชั่นไปแล้ว
เอาจริงๆ นอกจากอนิเมะ ก็มีคนไปตามโลเคชั่นแนวอื่น เช่นไปตามรอยโลเคชั่นภาพยนตร์ แบบต่อ คันฉัตร หรือไปตามไล่ดูโลเคชั่นถ่าย MV ไอดอลแบบอีคนเขียนนี่ล่ะครับ แต่ของสายอนิเมะออกจะจริงจังกว่าสายอื่น เพราะน่าจะดึงแฟนๆ มาได้เยอะ และพลิกแพลงทำสินค้าขายได้ง่ายด้วย
ก่อนหน้านี้ก็เห็นทางญี่ปุ่นพยายามจะทดลองเส้นทางทัวร์ตามรอยเรื่อง Kimi no Na wa อนิเมะชื่อดังที่ฮิตแบบถล่มทลายในปีก่อน ซึ่งก็เป็นการดึงคนไปที่เมืองเล็กๆ อย่างฮิดะในจังหวัดกิฟุได้ (เล็กไม่เล็ก ในเมืองไม่มีโรงหนังที่ฉายอนิเมะเรื่องที่ตัวเองเป็นโลเคชั่นแท้ๆ ชาวเมืองต้องขับรถชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะมีโรงหนังให้ดู) หรือ Ano Hana ที่ร่วมกับเมืองจิจิบุ จังหวัดไซตามะอย่างเต็มตัว ซึ่ง ไซตามะ ก็เป็น Case Study ที่น่าสนใจในการเอาแดนศักดิ์สิทธิ์ของอนิเมะมาเป็นจุดขายของจังหวัด ถึงกับมีเจ้าหน้าที่ดูแลกันอย่างจริงจังเลย
ตัวอย่างความจริงจังของเขาที่ผมได้สัมผัส คือ เมื่อไปที่เมืองจิจิบุ แม้จะเป็นเมืองเก่า มีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจมากมาย แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อและไม่ดึงดูดพอให้นั่งรถไฟจากโตเกียวไปเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ แต่พอมีแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้แฟนๆ ไปงมหากันเอง เพราะที่ผมเจอคือ โบรชัวร์ ขนาด B5 หนา 8 หน้า ชื่อว่า “ตามหาคำขอของเม็มมะ in จิจิบุ” (เม็มมะ คือตัวละครในเรื่อง) ซึ่งในนั้นก็มีแผนที่ของเมือง 5 หน้า และระบุว่า จุดไหน โผล่ในฉากไหน โดยมีรูปประกอบจากฉากนั้น ให้แฟนๆ ได้เช็คอย่างสะดวกสบายด้วย และยังมีรายละเอียดตัวละคร เรื่องย่อ พร้อมที่ติดต่อสำนักงานการท่องเที่ยวครบครัน ให้แฟนๆ ได้เอาไปแล้วเก็บเป็นที่ระลึกได้ยาวๆ เลยครับ
นอกจากจิจิบุแล้ว ไซตามะก็ยังมีเมืองอื่นเป็นจุดขายเรื่องอนิเมะอีกด้วย เอาจริงๆ แล้วหลายเรื่องก็เกิดจากความบังเอิญ ไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน เช่นเมืองคาซุคาเบะ ที่เป็นบ้านของครอบครัวโนะฮาระ จากเครยอน ชินจัง ก็กลายเป็นจุดขายใหม่ของเมือง แม้จะไม่มีแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจนว่าบ้านอยู่ที่ไหน แต่ที่เมืองก็มีเกมเซนเตอร์ที่ร่วมมือกับ เครยอน ชินจัง ประดับประดาด้วยของโชว์จากเรื่อง และตัวจังหวัดเองก็เอาตัวละครชินจังมาใช้ในโบรชัวร์หรือสินค้าที่ระลึกของเมืองไม่น้อย
ส่วนกรณีที่ประสบความสำเร็จแรกๆ ในจังหวัดคงต้องยกให้เรื่อง Lucky Star ช่วงยุค 2000 ที่เรื่องราวเกิดขึ้นในศาลเจ้า Washinomiya ในจังหวัดไซตามะ
จนกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ให้แฟนของเรื่องไปตามรอย จนทางศาลเจ้าเองก็ได้คนเข้ามาเยี่ยมชมและซื้อเครื่องรางกลับไปเป็นที่ระลึกจำนวนมาก (ศาลเจ้าจิจิบุก็มีป้ายขอพรที่มีรูปตัวละครอนิเมะไว้ด้วย) กลายเป็นเคสแรกและเป็นโมเดลให้จังหวัดอื่นพยายามเอาอนิเมะมาเป็นจุดขายของจังหวัด จนกลายเป็นจังหวัดที่เอาจริงเอาจังด้านนี้มากที่สุด อย่างที่บอกว่ามีเจ้าหน้าที่ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ และยังจัดงานเกี่ยวกับอนิเมะอยู่ที่นี่บ่อยๆ เช่นงาน Anitamasai หรืองาน อนิเมะและมังงะในไซตามะ ซึ่งเป้าหมายก็คือการดึงแฟนอนิเมะและมังงะจากทั่วโลกมาร่วมงานนี้ หรือจัดกิจกรรม นั่งรถไฟเที่ยวชมแดนศักดิ์สิทธิ์จากมังงะและอนิเมะเรื่องต่างๆ ในจังหวัดกัน นอกจากเรื่องที่เขียนมาก็ยังมีเรื่องดังๆ เช่น Tonari no Totoro , Bakuman หรือ Negima อีกด้วย มีอะไรขายได้ก็ดึงออกมาขายให้หมดครับ
นอกจากความพยายามของจังหวัดแล้ว ก็ยังมีบริษัทตาคมอย่าง Sony มองว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นที่นิยมได้ บวกกับยุคสมาร์ทโฟน จึงออกแบบแอพพลิเคชั่นชื่อ Butai Meguri หรือ เที่ยวชมเวที สำหรับแฟนอนิเมะและมังงะ ซึ่งก็เป็นแอพที่เราสามารถเช็คได้ว่า เรื่องที่เราสนใจ มีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน ซึ่งพอเราไปที่เมืองนั้น ก็เปิดแผนที่ในแอพขึ้นมาดู และแอพก็จะแสดงว่า ฉากนี้ อยู่ตรงไหน ให้เราเดินตามได้เลย พร้อมทั้งมีรูปให้เทียบ แถมสามารถถ่ายรูปที่ระลึกตามจุดต่างๆ โดยมีตัวละครประกอบในรูปได้ และพอไปเช็คอิน ณ จุดนั้น ก็ยังมีของที่ระลึกเป็นเสียงพูดของตัวละคร ให้แฟนๆ ได้ฟังแล้วฟินอีก เจอแบบนี้ สาวกทั้งหลายจะเหลือเหรอครับ ก็รีบตามไปลุยกันใหญ่ ตอนผมไปจิจิบุก็เปิดแอพนี้เล่นลองดูอย่างเพลิดเพลินครับ กลายเป็นการอำนวยความสะดวกให้แฟนคลับไปตามรอยอนิเมะได้เป็นอย่างดี
ในเรื่องการท่องเที่ยว มีหลายเมืองที่โชคดีมีโบราณสถานหรือสถานที่ดังๆ ที่ไม่ว่าใครก็อยากจะแวะเวียน แต่บางครั้ง ถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้ไปชม หรือบางเมืองก็ไม่มีอะไรมาก่อน การชูจุดขายใหม่ที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ เช่นการเปิดให้ตามรอยอนิเมะหรือมังงะชื่อดังก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยนะครับ เรียกได้ว่าหาเงินด้วยไอเดียอย่างแท้จริงเลยทีเดียว