“คนที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง ช่างน่ารำคาญสำหรับคนที่รู้ทุกอย่างจริงๆ อย่างพวกเราเสียเหลือเกิน”
– ไอแซค อาซิมอฟ
ไอ้นั่นก็อยากรู้ ไอ้นี่ก็บุ๊กมาร์กไว้ แต่ก็ไม่ได้อ่านเสียที คอร์สฟรีออนไลน์ก็มีเป็นล้านแปด ทดไว้ว่าสักวันจะไปลงเรียน แต่ ‘สักวัน’ นั้นก็ไม่เคยมาถึง เราอยากรู้ทุกเรื่อง และก็โชคดีที่แทบทุกเรื่องสามารถค้นหาและศึกษาได้ด้วยตนเองบนอินเทอร์เนต แต่เมื่อการเข้าถึงทุกเรื่องเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนี้ กลับกลายเป็นว่า เราไม่มีเวลาพอที่จะเข้าถึงอะไรเลย!
เราอยากรู้ทุกเรื่อง เรามี ‘วิธี’ ที่เราจะเข้าถึงความรู้ทุกเรื่อง แต่ ‘เรารู้ทุกเรื่อง’ ได้จริงๆ ไหม?
ความอยากแสดงออกว่ารู้ กับความอยากรู้นั้นไม่เหมือนกัน
‘ความอยากรู้ไปเสียทุกอย่าง’ ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยได้อ่านเมื่อนานมาแล้ว มันชื่อว่า The Know-It-All : One Man’s Humble Quest to Become the Smartest Person in the World หรือที่แปลในชื่อไทยว่าปฏิบัติการล่าไอคิว (ตีพิมพ์โดยสนพ. มติชน) มันเป็นบันทึกประสบการณ์ของเอ เจ จาคอบ ผู้เขียน ที่พยายามจะอ่านเอนไซโคลพีเดียบริแทนนิก้าทั้งชุด ไล่ตั้งแต่ A ถึง Z รวมกันทั้งหมดก็หนา 33,000 กว่าหน้า คิดออกมาเป็นจำนวนคำได้ถึง 44 ล้านคำ!
จริงๆ ชื่อของหนังสือ (Know-It-All) นั้นไม่ได้มีความหมายที่ดีนัก มันมีความหมายส่อไปทางประชดประชันหน่อยๆ เอาไว้ใช้ด่าคนที่ ‘รู้ดีไปซะทุกเรื่อง’ ‘ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม’ และคนที่ ‘รู้ทุกเรื่อง’ ในความหมายแบบ Know-It-All ก็มักจะถูกวาดภาพเป็นคนน่ารำคาญที่พยายามขัดบทสนทนาของชาวบ้านเพื่ออวดภูมิตนเอง
มีงานศึกษาว่าเมื่ออินเทอร์เนตเป็นแหล่งข้อมูลหลักของมนุษย์ พวกเราก็อาจรู้สึกอิ่มเอิบพองลมไปกับความรู้ที่ได้รับ (inflated sense of having acquired knowledge) พวกเรามีความรู้สึกว่าได้รู้ แต่จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่ได้รู้อะไรจริงๆ เลย และส่วนมากอินเทอร์เนตก็มักทำหน้าที่เป็นเครื่องยืนยันความเชื่อในสิ่งที่เรารู้หรือเชื่ออยู่แล้ว มากกว่าจะเป็นเครื่องเปิดโลกไปสู่สิ่งที่เราไม่รู้
และการได้แสดงออกว่าตัวเองรู้ (หรือแสดงออกว่าตัวเองถูก) ก็อาจทำให้สมองรู้สึกว่า ‘ได้รางวัล’ – มีบทความที่พูดถึงขนาดที่ว่า ‘มีความคล้ายคลึงในเชิงจิตวิทยาระหว่างการรู้สึกว่าตัวเองถูก กับการติดยา เลยทีเดียว และบทความดังกล่าวก็เสนอว่าคนที่ ‘แสดงออกว่าตัวเองรู้’ บ่อยๆ นั้นคืออาการเสพติดความรู้สึกเป็นสุขนี้ใช่หรือไม่
แต่ถึงอย่างนั้น, ความพยายามที่จะรู้ทุกอย่าง (Know Everything) กับความพยายามที่จะแสดงให้ชาวบ้านเห็นว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง (Know-It-All) ก็มีความแตกต่างกันมากอยู่
ประวัติศาสตร์ของความอยากรู้ทุกอย่าง
เช่นเดียวกับหนังสือ The Know It All, ในปัจจุบันก็ยังมีบางคนที่วิ่งตามเป้าหมายของ ‘การเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างให้มากที่สุด’ (โดยอาจจะไม่ต้องเอาไปอวดใคร) อยู่ บล็อกเกอร์คนหนึ่งชื่อลิซ (https://learningnerd.com) ตั้งเป้าว่าจะเรียนรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่ศิลปะ วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงภาษาศาสตร์ เธอบันทึกการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ บนบล็อกทุกสัปดาห์ตั้งแต่ปี 2006 (มีขาดช่วงไปบ้าง แต่ปัจจุบันเธอก็กลับมาบันทึกใหม่แล้วตั้งแต่ปี 2015 บางเดือนหรือบางปีเธอจะโฟกัสที่ศาสตร์แขนงใดแขนงหนึ่งเป็นพิเศษ เช่นเดือนธันวาคมปี 2015 เป็น ‘เดือนคณิตศาสตร์’ ปัจจุบันโปรเจกต์ประจำปี 2017 ของเธอคือ ‘สอนตัวเองให้เขียนโปรแกรมเป็น’) พอได้เห็นโปรเจกต์ของเธอแล้วหลายคนอาจจะเกิดคันไม้คันมืออยากทำขึ้นมาบ้าง
ในประวัติศาสตร์ก็มีการบันทึกถึง ‘มนุษย์คนสุดท้ายที่รู้ทุกอย่าง’ (Last person to know everything) อยู่บ่อยๆ ซึ่งผู้ที่อยู่ในรายนามอันทรงเกียรตินี้ก็มีตั้งแต่อริสโตเติล (“อริสโตเติลผู้ซึ่งบางคนเรียกว่าชายคนสุดท้ายผู้รู้ทุกอย่างเท่าที่มีให้รู้ เขียนหนังสือของเขาเมื่อ 2,300 ปีที่แล้ว”), ลีโอนาร์โด ดาวินชี, ฟรานซิส เบคอน, เคปเลอร์, ลิบนิซ, คานท์, โธมัส ยัง (พหูสูตชาวอังกฤษผู้พิสูจน์ว่าแสงเป็นคลื่น มีคนเขียนหนังสือชีวประวัติของเขาโดยใช้ชื่อตรงๆ เลยว่า The last man who knew everything), จอห์น สจ๊วต มิลล์ ไปจนถึงแม๊กซ์ เวเบอร์ เว็บไซต์ Hmolpedia รวบรวมบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้ชื่อเช่นนี้ไว้ 18 คน โดยมีรายละเอียดไอคิวของพวกเขา (ที่ไม่รู้คำนวณมาได้ยังไง) ปีเกิดและปีเสียชีวิต รวมไปถึงประโยคที่มีคนชื่นชมพวกเขา รายนามนี้อ่านสนุกมาก
ความจริงที่ว่า: เรารู้ทุกอย่างไม่ได้ แล้วเราควรจะรู้อะไรบ้าง
ในช่วงปี 1700-1900 คนก็เริ่มตระหนักกันว่าฐานความรู้ที่กว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ (จากการพัฒนาวิทยาศาสตร์) นั้นเริ่มใหญ่เกินกว่าที่ใครคนใดคนหนึ่งจะรู้ได้ทุกอย่าง (ทุกศาสตร์) แล้ว นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส Pierre Levy เสนอว่าการตีพิมพ์เอนไซโคลพีเดียของ Denis Diderdot และ Jean d’Almbert ในช่วงปี 1751-1772 นั้นเป็น “จุดจบของยุคที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งสามารถล่วงรู้ความรู้ (อย่างน้อยที่มีการบันทึกไว้) ได้ทั้งหมด” นี่ขนาดตอนนั้นยังไม่มีอินเทอร์เนต ที่ทำให้ฐานความรู้ของมวลมนุษยชาติระเบิดออกเป็นพันเท่าทวี คนสมัยนั้นยังตระหนักแล้วเลยว่า “กูรู้ไม่ได้ทุกเรื่อง!”
แต่จุดร่วมของคนที่ได้ชื่อว่า ‘รู้ทุกเรื่อง’ นั้นคือถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ ‘ทุกเรื่อง’ จริงๆ แต่พวกเขาก็จะมีความรู้ในศาสตร์ที่หลากหลายพอ และรู้ลึกพอจนสามารถเห็นจุดร่วมของศาสตร์ต่างๆ และเชื่อมโยงกันจนเกิดผลลัพธ์ใหม่ๆ
ทีนี้ คำถามก็คือ : แล้วเราควรจะรู้อะไร เพื่อที่อย่างน้อยจะได้เป็น ‘ฐาน’ ของการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด (หรือคำที่ดีกว่า คือเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด)
หนึ่งในวิชาที่มีประโยชน์คือ การเรียนวิธีเรียน ที่คุณอาจลงเรียนในคอร์สออนไลน์ได้ฟรี ชื่อคอร์ส Learning how to learn บน Coursera นักเรียนคนหนึ่งจากคอร์สนี้ บันทึกสิ่งที่เขาได้จากการเรียนในคอร์ส เช่น
- โหมดที่แตกต่างกันของวิธีคิด คือโหมด ‘พุ่งเป้า’ หรือ Focused และโหมด ‘เบลอ’ หรือ Diffused นั้นจำเป็นต่อการเรียนรู้ทั้งสองโหมด การเบรคระหว่างการเรียนนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาแนะนำเทคนิคแบบ Pomodoro ซึ่งคือการเรียน 25 นาที และพัก 5 นาที สลับกันไป ซึ่งเขารู้สึกว่าทำให้ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีที่สุด
- Chunking คือการแบ่งสิ่งที่อยากเรียนรู้เป็นแนวคิดย่อยๆ คล้ายกับชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ เขาบอกว่าขั้นตอนการเรียนรู้ที่อาจทำให้ได้ผลดีคือ 1) Survey and Priming เช่น การลองสแกนหนังสือ สารบัญ หรือตารางของวิชานั้นๆ คร่าวๆ ก่อน เพื่อให้เห็น ‘แผนที่’ ของวิชา 2) ลองดูตัวอย่าง 3) ลองทำตามตัวอย่าง และ 4) ลองทำตามตัวอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในบริบทที่แตกต่างกัน
- Illusions of Competence คือความรู้สึกหลงคิดไปเองว่าตัวเองรู้อะไรแล้ว ทั้งๆ ที่อาจจะไม่รู้จริง ซึ่งความรู้สึกแบบนี้อาจเกิดจากการอ่านตัวอย่างการแก้โจทย์ แล้วรู้สึกเหมือนแก้โจทย์ได้เอง หรือการใช้ปากกาไฮไลท์หรือขีดเส้นใต้คำที่รู้สึกว่าสำคัญ วิธีที่เขาแนะนำคือแทนที่จะใช้ปากกาไฮไลท์ ให้จดสรุปด้วยคำของตนเองจะดีกว่า
- Recall การ ‘นึกทบทวน’ สิ่งที่ได้้เรียนมา หรือสิ่งที่เพิ่งอ่านไป หลังอ่านจบสัก 2-3 นาที หรือนึกทบทวนในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากตอนเรียนหรือตอนอ่าน จะทำให้จำสิ่งนั้นๆ ได้แม่นยำขึ้น
- การสอนคนอื่นถึงสิ่งที่ตัวเองรู้หรือเรียนมา จะทำให้เราเข้าใจสิ่งนั้นๆ มากขึ้น (อันนี้คล้ายๆ กับเทคนิคที่ริชาร์ด ไฟน์แมน เคยบอกไว้)
ในเว็บไซต์ถาม-ตอบ อย่าง Quora มีคนตั้งคำถามไว้ว่า “ผมจะสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งที่มีให้เรียนรู้ได้อย่างไร” ถึงแม้คำตอบส่วนมากจะยอมรับว่า เราเรียนรู้ทุกสิ่งไม่ได้ แต่ก็มีหลายคำแนะนำที่น่าสนใจ ที่อาจทำให้เราเรียนรู้ได้มากขึ้น เช่น ให้พยายามหาคอนเซปท์ร่วมของแขนงวิชาต่างๆ เช่น การเรียนจิตวิทยา ตรรกะ และทฤษฎีเกม อาจทำให้เราเข้าใจการเมืองการปกครอง การตลาด และกฎหมายได้ง่ายขึ้น, การเรียนแบบ ‘ต้นไม้’ (เรียนที่รากก่อน ค่อยแตกแขนงเป็นกิ่ง) ซึ่งเป็นวิธีที่อีลอน มัสก์ใช้แตกแขนงตัวเองไปสู่วิชาใหม่ๆ จะทำให้เราเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
นอกเหนือไปจากวิชาการเรียนรู้เพื่อเรียนรู้แล้ว อีกคำถามที่น่าสนใจคือ “ถ้าคุณต้องเลือก อะไรคือวิชาที่ทุกคนควรจะรู้ นอกเหนือไปจากวิชาหลักพื้นฐานที่เรียนในโรงเรียน อย่างเช่น การอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์เบื้องต้น ฯลฯ” ซึ่งคำตอบยอดฮิตเป็นดังนี้
- วิชาเข้าใจการอ่านข้อมูล, ปรัชญาของวิทยาศาสตร์ ตรรกะ ตรรกะวิบัติ และการคิดโดยใช้เหตุผล
- การเขียนโปรแกรมพื้นฐาน
- ศิลปะของภาษาอังกฤษ, วรรณกรรมวิจารณ์, และการอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเป็นระบบ
- การเริ่มธุรกิจและธุรกิจสังคม
- “วิชาการดูออกว่าใครจริงใจหรือไก่กา” (How to tell when someone else is full of shit)
- เศรษฐศาสตร์
- ปรัชญาการถกเถียง, โต้วาที
- ความฉลาดทางอารมณ์และการรู้จักตัวตน
- วัฒนธรรม
- สุนทรียศาสตร์
- กระบวนการแก้ปัญหา
- โภชนาการและพลานามัย
- วิชาการเรียนรู้ด้วยตนเอง
- การเงินขั้นพื้นฐาน
ในขณะที่บางคำตอบก็น่าสนใจในเชิงการใช้งานจริง เช่น สกิลการเอาตัวรอด (Survival Skill) การทำสวน การทำสมาธิ ศิลปะการป้องกันตัว โกะ การเป็นผู้นำ ศิลปะการจูงใจ ฯลฯ (ลองอ่านคำตอบเต็มได้ในลิงก์อ่านเพิ่มเติมด้านล่าง มีประโยชน์มาก เพราะบางคำตอบมีลิงก์เพื่อให้เราไปศึกษาเรื่องนั้นๆ ต่อได้ด้วย)
ทั้งหมดนี้อาจพอเป็นคำตอบได้บ้างว่า ถึงแม้เราเลือกที่จะรู้บางอย่างได้เท่านั้น แล้วอะไรล่ะที่เราควรเลือกที่จะรู้
อ้างอิง / อ่านเพิ่มเติม
Can You Spot a Know-it-All?
What I learned from Coursera’s “Learning How to Learn”
https://medium.com/learn-love-code/learnings-from-learning-how-to-learn-19d149920dc4
How can I learn everything there is to know about everything?
https://www.quora.com/How-can-I-learn-everything-there-is-to-know-about-everything
If you had to pick one, what is the single most important subject everyone should know, beyond “core” subjects taught in the early years? Please don’t answer with “core” subjects like reading, writing, basic math, science, and history.