ในแต่ละวันเราดำเนินชีวิตโดยอาศัยสิ่งที่เรารู้ประกอบกันไป เรารู้ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ รู้ว่าคนเราต้องนอนวันละประมาณ 6–8 ชั่วโมง รู้ว่าถนนสายไหนไปบรรจบสายไหน รู้ว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ใช่แค่รู้เรื่องตรงหน้า เรื่องในวันนี้ แต่องค์ความรู้ที่มีครอบคลุมไปถึงอดีต ซึ่งช่วยให้รับรู้ถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ไปจนถึงล่วงรู้อนาคตข้างหน้าด้วยวิธีต่างๆ
แต่เมื่อเรารู้แล้ว เราเคยได้ย้อนกลับมาตั้งข้อสงสัยกับความรู้ที่เรามีบ้างหรือเปล่าว่า ความรู้ที่เรามีมันเชื่อได้แค่ไหน มันเป็นความรู้ที่แน่นอนหรือเป็นเพียงความเชื่อกันแน่ เรื่องที่รู้มีตั้งมากมาย แล้วเรื่องที่ยังไม่รู้ล่ะ ยังรอให้เราไปค้นพบอีกมากมายเท่าไหร่กัน สิ่งที่รู้ในวันนี้นั้นมันจะกลายเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือในสักวันหรือเปล่า
ดูเหมือนว่า ความรู้ที่ติดตัวเราจนแทบจะเป็นสิ่งแน่นอน มันกลับมีช่องโหว่บางอย่างให้เราตั้งคำถามต่อมันไม่รู้จบ จึงอยากชวนทุกคนกลับมารู้เรื่องความรู้และความไม่รู้ในมุมปรัชญา กับ พิพัฒน์ สุยะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ถึงที่มาของความรู้ ความแตกต่างของความรู้และความเชื่อ และข้อสงสัยอื่นๆ ในสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้อยู่แล้ว

หากหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับความรู้มาพูดคุยในทางปรัชญา ถือว่าขอบเขตของเรื่องนี้อยู่ใน ‘ญาณวิทยา’ (Epistemology) มาจากภาษากรีก epistēmē แปลว่า ความรู้ และ logos แปลว่า ถ้อยคำหรือการศึกษา ญาณวิทยาจึงหมายถึงการศึกษาว่าด้วยความรู้โดยตรง โดยเฉพาะใจความหลักอย่าง ความรู้คืออะไร ความรู้มาจากไหน ความชอบธรรมของความรู้ และข้อจำกัดของความรู้
เริ่มกันที่คำถามแรกอย่าง “ความรู้คืออะไร?” อาจารย์พิพัฒน์อธิบายไว้ว่า ตัวคำถามนี้เป็นพื้นฐานทางปรัชญาในสาขาที่เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (theory of knowledge) มันเป็นคำถามไม่อาจตอบได้แค่ 2-3 ประโยค แต่อาจารย์ช่วยย่อยคำตอบอย่างเข้าใจง่ายไว้ดังนี้
“ถ้าถามความเห็นส่วนตัวผมว่า ความรู้ (knowledge) คือ คำอธิบายเพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันของปรากฏการณ์ต่างๆ ความรู้มีสถานะทางญาณวิทยาอยู่ระหว่าง ความเชื่อ (belief) กับ ความจริง (truth)”
และอธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวความรู้มีความแน่นอนหรือน่าเชื่อถืออยู่ระดับหนึ่ง ส่วนความเชื่อไม่มีความแน่นอนหรือยากที่จะพิสูจน์ แต่ก็ไม่ได้ไม่มีความแน่นอนหรือผิดไม่ได้ อย่างเช่น ความจริง เพราะความรู้หลายอย่างในยุคสมัยหนึ่งเป็นจริง แต่ต่อมาความรู้นั้นก็กลายเป็นเท็จ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรารู้มากขึ้น หรือรู้ต่างไปจากเดิม หรือการเปลี่ยนแปลงหรือถูกหักล้างในทฤษฎีวิทยาศาสตร์ หรือด้วยเหตุผลอื่น
นั่นแปลว่าความรู้มันก็อาจเปลี่ยนไปได้ตามเวลา ความเชื่อก็ใช่ว่าจะพิสูจน์ไม่ได้ หากอะไรๆ ต่างก็ไม่แน่นอนขนาดนั้น แล้วความรู้กับความเชื่อมันจะต่างกันอย่างไร?

ความรู้หรือความเชื่อ
เพลโต (Plato) เป็นนักปรัชญาที่สนใจประเด็นคำถามเรื่องสถานะความรู้เป็นพิเศษ ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างความเชื่อกับความรู้ โดยเฉพาะในงานเขียนเรื่อง เมโน (Meno) ของเพลโต ซึ่งเป็นเรื่องราวการสนทนาระหว่าง โซเครติสกับเมโน ถกเถียงกันว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่าง ความเห็นที่จริง (true opinion) กับความรู้ (knowledge) อาจารย์พิพัฒน์เล่าว่า จากงานเขียนเล่มดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า
“หากใครมีความรู้ คนผู้นั้นก็ต้องมีความเห็นที่จริงด้วย แต่หากกลับกันก็จะไม่เป็นจริง นั่นก็คือ ผู้ที่มีความเห็นที่จริง อาจไม่มีความรู้ก็เป็นได้”
วิธีการหนึ่งที่เพลโตใช้ตอบคำถามนี้ เขายกตัวอย่างว่า “ถ้ามีคนสองคน คนหนึ่งรู้ ส่วนอีกคนมีความเห็นที่จริงแต่เขาไม่รู้ สำหรับเพลโตแล้ว คนแรกนั้นมีทุกอย่างที่คนที่สองมี แต่คนแรกนั้นย่อมมีบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าคนที่สองมี”
มันชวนให้กลับมาตั้งคำถามว่า แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างสองคนนี้ ที่ทำให้คนหนึ่งเรียกว่ามีความรู้?
เขามองว่า ความรู้เป็นความคิดประเภทหนึ่งซึ่งเริ่มต้นจากสถานะของความเชื่อ (belief) ต่อมา ความรู้จะต้องเป็น ความเชื่อที่จริง (true belief) และความเชื่อที่เป็นจริงจะเป็นความรู้ได้ด้วยคำอธิบายที่มีเหตุผล (true belief with a rational account) นอกจากนี้ใน The Republic เพลโตยังเห็นว่า “ความเห็นเป็นสิ่งที่มีทั้งถูกและผิด ความรู้ต่างจากความเห็นตรงคือเป็นสิ่งที่ไม่ผิด” ผู้ที่มีความรู้ผิดๆ ก็นับว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้
อาจารย์พิพัฒน์อธิบายถึงสิ่งที่เพลโตทำมาทั้งหมด ในหลายผลงานที่หยิบยกมา นั่นก็คือการวิเคราะห์หานิยาม (definition) ของความรู้ หรือ ในทางปรัชญาเรียกอย่างว่าการหาเงื่อนไขจำเป็น (necessary conditions) และเพียงพอ (sufficient) สำหรับสิ่งที่เรียกว่าความรู้

หากสังเกตจากคำอธิบายเกี่ยวกับความรู้ไล่เรียงมา เพลโตได้รับสมมติฐานล่วงหน้าไว้แล้ว (presupposed) ว่าความรู้ต้องเป็นสิ่งที่แน่นอน (certainty) และความแน่นอนนี้ต้องมาจากความเห็นหรือความเชื่อที่จริงอันจะเกิดขึ้นได้โดยมีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล แนวคิดนี้ของเขาวางรากฐานเกี่ยวกับมุมมองความรู้ในทางปรัชญาเรื่อยมา จนในปี 1963 เอ็ดมุนด์ เก็ตติเออร์ (Edmund Gettier) ได้ตีพิมพ์บทความ “Is Justified True Belief Knowledge?” ที่มีความยาวเพียง 3 หน้า แต่หยิบยกสิ่งนี้มาหักล้างความคิดของเพลโต จนกลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงในวงการปรัชญาเรื่อยมาถึงทุกวันนี้
เขาตั้งคำถามอย่างเรียบง่ายว่า “ความรู้นั้นเป็นความเชื่อที่จริงและมีเหตุผลใช่หรือไม่?” ในบทความดังกล่าวสิ่งที่เก็ตติเออร์ทำคือการหาตัวอย่างมาแย้ง (counterexample) กับข้อเสนอของเพลโต ด้วยความซับซ้อนของเนื้อหาในช่วงนี้ที่ไม่อาจอธิบายในบทความเดียวได้หมด สามารถใช้ชื่อบทความของเก็ตติเออร์ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อลงลึกถึงตัวอย่างที่เขาหยิบยกมาหักล้างกับเพลโต้
ความรู้มาจากไหน
นอกจากความสงสัยใคร่รู้ในความหมายของความรู้แล้ว แหล่งที่มาของความรู้ เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ญาณวิทยาได้ศึกษา จนได้เป็นที่มาของความรู้หลักๆ 5 แหล่ง ได้แก่
- ประสบการณ์ รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์เราสามารถรู้จักโลกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น เราเรียกกลุ่มนี้ว่า ประสบการณ์นิยม (Empiricism)
- เหตุผลหรือสติปัญญา กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์สามารถรู้จักโลกผ่านการคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลเท่านั้น เราเรียกกลุ่มนี้ว่า เหตุผลนิยม (Rationalism)
- วิวรณ์ (Revelation) หรือการเผยแสดงของพระผู้เป็นเจ้า กลุ่มนี้จะเชื่อว่าต้องมีการเผยแสดงของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เราถึงจะมีความรู้ที่ถูกต้องได้ รวมทั้งต้องอาศัยศรัทธา (faith) อย่างแรงกล้าจึงจะเข้าถึงในวิวรณ์
- ประกาศกหรือผู้รู้ (Authority) กลุ่มนี้เชื่อว่าความรู้นั้นมาจากแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือ อย่างผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ประกาศก ตลอดจน ตำรา หนังสือ งานวิจัย คัมภัร์ และอื่นๆ
- อารมณ์หรือความรู้สึก กลุ่มนี้ไม่มองว่าแหล่งที่มาความรู้ที่กล่าวมาทั้งหมดจะนำเราไปสู่ความรู้ที่แท้จริงได้ เพราะสภาวะดังกล่าวต้องเข้าถึงด้วยอารมณ์หรือความรู้สึก แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้มักจะเป็นศิลปินหรือผู้สร้างงานศิลปะต่างๆ
เช่นเดียวกับในกลุ่มความคิดทั้งหลาย แม้จะมีหลักยึดมั่นว่ามองไปในทางนี้ แต่ก็จะมีช่องโหว่บางอย่างที่ชวนตั้งข้อสงสัยหรือถูกโจมตีได้เช่นกัน
อาจารย์พิพัฒน์ยกตัวอย่างถึง ‘ความรู้ของเหตุผลนิยม’ จะมีลักษณะแบบไม่อาศัยประสบการณ์ หรือความรู้นั้นจะต้องมีอยู่ก่อนประสบการณ์ และอธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้ว่า ในทางปรัชญาเราเรียกว่า ความรู้แบบไม่อาศัยประสบการณ์ (a priori knowledge) เช่น คนโสดคือคนที่ยังไม่แต่งงาน หรือ 1+1=2
ข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้ที่เรามีได้โดยไม่ต้องอาศัยประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่มีได้ด้วยการคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล แต่จุดอ่อนของเหตุผลนิยมที่มักจะถูกโต้แย้งก็คือ ตัวอย่างความรู้แบบนี้มีน้อยเกินไป หรือความรู้ทางคณิตศาสตร์ยังเป็นแค่ความสัมพันธ์กันทางความคิดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอกว่าเป็นอย่างไร

ส่วนจุดอ่อนของความรู้แบบประสบการณ์นิยมที่มักจะถูกโต้แย้งอยู่บ่อยครั้ง คือวิธีการได้มาซึ่งความรู้ อย่างวิธีการอุปนัย (Induction) เป็นการอนุมานจากข้ออ้างไปสู่ข้อสรุป ที่มีเพียงความน่าจะเป็นจริงสูงแต่ก็อาจเป็นเท็จได้ แล้วถ้าเราปล่อยให้วิธีการที่ไม่แน่นอนนี้นำทางชีวิตของเรา มันอาจพาเราไปยังที่ผิดพลาดได้เช่นกัน
ยังมีอีกหลายข้อสงสัยในที่มาความรู้แต่ละแหล่ง อาจารย์จึงทิ้งท้ายในส่วนนี้ว่า “นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ของข้อถกเถียงระหว่างเหตุผลนิยมกับประสบการณ์นิยม ยังมีรายละเอียดอีกมาก หากท่านใดสนใจ เรียนเชิญที่ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เลยครับ”
รู้ในความไม่รู้
เราพูดคุยถึงนิยามของความรู้ จำแนกแยกความแตกต่างกับความเชื่อ จนมาถึงที่มาของความรู้แล้ว แต่ความไม่รู้ก็นับว่าอยู่ในขอบเขตของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อาจารย์อธิบายถึงความไม่รู้ว่า มันอาจเป็นได้ทั้ง เรายังไม่รู้ในสิ่งที่คนอื่นรู้อยู่แล้ว หรือเราไม่รู้เลยว่าเรารู้ต่อไปได้หรือไม่ได้ อีกนัยหนึ่งคือเราไม่รู้เลยว่าความรู้นั้นมันสิ้นสุดแล้วหรือไม่ มีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้าอีกหรือไม่มีแล้ว และอาจารย์ยังเน้นย้ำว่า ในมุมมองนี้นี่เอง เป็นส่วนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงทัศนะที่เรามีต่อความรู้
“สุดท้ายในทางปรัชญาบางทีมันอาจจะไม่ได้สำคัญเท่าไหร่นักว่าเรารู้อะไรบ้าง
แต่การรักในแสวงหาความรู้ต่างหากที่สำคัญที่สุด”
เมื่อเราเริ่มรู้แล้วว่า เรายังมีเรื่องไม่รู้อยู่อีก ไม่ว่ามันจะเป็นความไม่รู้ที่คนอื่นรู้แล้ว หรือเป็นความรู้ที่ยังไม่ถูกค้นพบก็ตาม เราจะสามารถเปลี่ยนความไม่รู้ของเราเป็นความรู้ได้ด้วยวิธีไหน อาจารย์ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า
“เราอาจกลับที่ประโยคอันลือลั่นของโสเครติสที่ว่า ‘All I know is that I know nothing – ทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าพเจ้ารู้คือข้าพเจ้าไม่รู้อะไรเลย’ ข้อความนี้ไม่ใช่การเล่นโวหารของโสเครติสอย่างแน่นอน แต่มันเป็นการแสดงออกถึงจิตวิญญาณแบบปรัชญา การแสวงหาความรู้มากมายมหาศาลตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจะไม่มีความหมายอะไรเลย หากเราไม่ย้อนกลับมาทำความรู้จักตัวเอง ครุ่นคิดถึงถึงข้อจำกัดของมนุษย์ อาจบางทีการตระหนักถึงความไม่รู้ของตนเองก็เป็นจุดตั้งต้นที่ชัดเจน ไม่มีมายาภาพให้หยิ่งผยองในตวามรู้ของตน”
ไม่ว่าตอนนี้เราจะรู้อะไรแล้วหรือยังไม่รู้อะไร สิ่งสำคัญอาจเป็นความพยายามที่จะรู้ ที่ช่วยผลักดันให้เรารู้ต่อไปไม่มีสิ้นสุดได้เช่นกัน